แก่เงียบ ๆ จากโรคติดน้ำตาล
จากคอลัมน์ “หนุ่มสาวอีกครั้ง” ของ นพ. กฤษดา สิรามพุช ในหนังสือพลอยแกมเพชร ฉบับวันที่ 15 มีค.2551
คุณเคยมีอาการอยากกินของหวานอยู่บ่อยๆ หรือรู้สึก “โหย” อยากได้เครื่องดื่มหวานๆ
ชื่นใจสักขวด
ไหมครับ
อาการเหล่านี้ไม่ใช่อาการของการ “หิว”
ตามปรกติธรรมดาของร่างกาย หากแต่เป็นอาการหนึ่งของการ
ติดคาร์โบไฮเดรต โดยเฉพาะ “น้ำตาลกลูโคส”
อันว่าอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตนี้มีกลไกที่ทำให้เราติดได้ 2 ประการคือ
1. เพิ่มสารสื่อประสาทใสมอง ทำให้รู้สึกหายเครียด เคลิบเคลิ้ม เป็นสุข นี่คือสาเหตุว่าทำไมเมื่อเครียด
เราจึงอยากกินและกิน กิน กิน เพื่อให้หายเครียด
2. เมื่อมีน้ำตาลจำนวนมากเข้าสู่กระแสเลือด จะไปกระตุ้นฮอร์โมนอินซูลินให้พุ่งกระฉูดขึ้น ซึ่ง
อินซูลินนี้ทำหน้าที่ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อสูงเกินไป ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงมา
มากจนรู้สึก “โหย”
อยากได้น้ำตาลอีก กลายเป็นว่ายิ่งกินหวานก็ยิ่งอยากหวานมากขึ้น
กลไกทั้งสองนี้เองที่ทำให้เรา “ติด”
โดยไม่รู้ตัว ถ้าขาดเมื่อไรจะมีอาการหงุดหงิด โดยไม่รู้สาเหตุ รู้สึก
หดหู่ อารมณ์ไม่ปรกติขึ้นมา หรือพูดง่ายๆ คือจากสุขมากในตอนแรกที่ได้กินของหวานกลายมาเป็นทุกข์
ถนัดหลังจากหมดฤทธิ์ของหวานแล้ว
น้ำตาลทำให้ซึมเศร้าถึงขั้นฆ่าตัวตายได้
ที่บอกกันมานานแล้วว่ากินหวานแล้วอารณ์ดีนั้น อันที่จริงก็ถูกอยู่ครับ อย่างขนมตุรกีที่ชื่อ “เตอร์
กิช ดีไลท์ (Turkish delight) นั่นปะไร กินแล้วทั้งเหนียวกรามค้าง และหวานแสบไส้ แต่เขาก็ยังว่า
ของเขา “ดีไลท์”
ซึ่งฤทธิ์แห่งความสุขของน้ำตาลนี้มีอยู่ในช่วงแรกเท่านั้นครับ ด้วยพลังแห่งการไปเพิ่มสารสื่อ
ประสาทซีโรโทนิน ทำให้รู้สึกอารมณ์ดีเคลิบเคลิ้มด้วย
แต่หลังจากนั้น เมื่อยังคงยัดเยียดความหวานให้แก่ร่างกายอยู่อย่างต่อเนื่อง มันจะทำให้ระดับซีโร
โทนินสูงขึ้นมาก เกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน เฉื่อย และท้ายสุดคือซึมเศร้าแทน
เป็นอันว่าตอนนี้เปลี่ยนจาก “เตอร์กิชดีไลท์” เป็น “เตอร์กิชดีเพรส” เรียบร้อยแล้ว เมื่อดีเพรส
หรือซึมเศร้าจนได้ที่แล้ว ก็ยังไม่หมดบาปเคราะห์จากน้ำตาลครับ
ด้วยว่าระดับน้ำตาลที่สูง ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินที่ช่วยจัดเก็บน้ำตาลนั้นหลั่งออกมามาก แล้วเลย
พาลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนจากที่สูงปรี๊ดกลับดิ่งเหวลงมาต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม ทำให้เกิด
“น้ำตาลต่ำ (Hypoglycemic
Symptoms)” ประu3585
.อบด้วยอาการเหนื่อย หมดเรี่ยวแรง ไม่สดชื่น
2
และเมื่อประกอบกับภาวะที่สารสื่อประสาททำให้ซึมเศร้า แล้วผลลัพธ์ก็คือทำให้หดหู่ใจเหลือ
ประมาณ ในบางคนถ้าเป็นโรคจิตเวช เช่นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวลอยู่ ก็ต้องระวังผลข้อนี้ให้ดี
เพราะอาจทำให้มากถึงขั้นไม่อยากอยู่ในโลกได้
แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านก็จะทำให้รู้สึก “จิตตก”
แล้วก็พานอยากกินของหวานเพิ่ม
เพื่อยกระดับอารมณ์ขึ้นมาให้ดีดังเดิมอีก แต่ในที่สุดร่างกายก็กลับมาหดหู่อีก ก็จำต้องเพิ่มปริมาณการกิน
ให้มากขึ้นและกินบ่อยขึ้นทุกทีเหมือนกับยาเสพติด
ถึงตอนนี้คุณก็เป็น “โรคติดน้ำตาล” โดยไม่รู้ตัวละครับ
น้ำตาลทำให้แก่เร็วทันใจ
เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เองได้มีนักวิจัยชาวเยอรมันทดสอบหาปัจจัยที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตอายุ
ยืนขึ้นกว่าอายุขัยเฉลี่ยทั่วไป โดยได้ทำการทดลองต่างๆ นานาในหนอนตัวกลมชนิดหนึ่งพบว่า สิ่งที่ทำให้หนอน
มีอายุยืนที่สุด คือการจำกัดน้ำตาลครับ พบว่าทำให้อายุยืนขึ้นถึง 25 % ของอายุขัยเฉลี่ย
ซึ่งเมื่อเปรียบอายุขัยแบบหนอนๆ กับอายุขัยของคนแล้ว พบว่าทำให้มนุษย์อายุยืนขึ้นถึง 15 ปีเชียว
ครับ ไมน้อยเลยนะครับ 15 ปีนี่ เพราะปัจจุบันอายุปีขัยเฉลี่ยของคนไทยก็อยู่ที่ราว 70-75 ปีอยู่แล้ว ได้เพิ่มมาอีก
15 ปีก็เกือบร้อยเชียวนะครับ
ยิ่งถ้าเป็นคนญี่ปุ่น แถวโอกินาว่า ยิ่งดีใหญ่ เพราะอายุขัยเฉลี่ยปาเข้าไปตั้ง 80 กว่าปี ได้เพิ่มเข้าไป
อีก ก็เป็นร้อยกว่าปี แถมเป็นร้อยกว่าปีที่มีสุขภาพดีเสียด้วย
ตอนนี้เราก้ได้ทราบกั้นแล้วว่าโรคติดน้ำตาลนั้นไม่ได้ทำให้คุณซึมเศร้าแต่เพียวอย่างเดียว หากแต่ทำ
ให้ “แก่เร็ว”
ขึ้นด้วย
กลไกของน้ำตาลที่ไปทำให้แก่รวดแก่เร็วทันใจนั้นก็คือ กลไกที่มันไปเพิ่มระดับอินซูลินในเลือด ซึ่ง
เป็นที่รู้กันในทางเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ว่า อินซูลินนี้เมื่อไปอยู่ที่อวัยวะใด ก็ไปทำให้อวัยวะนั้นๆ เสื่อมลงเร็ว
ดังนั้นเมื่อคุณเป็นโรคติดหวานต้องกินน้ำตาลกินแป้งอยู่เรื่อยๆ เสียแล้ว ก็ทำให้ระดับอินซูลินใน
เลือดไม่เคยลดลง เปรียบได้กับทำให้ร่างกายแช่อิ่มอยู่ในอินซูลินตลอดเวลา อวัยวะต่าง ก็เสื่อมการทำงานลง แล้ว
ที่สุดมันจะไปเหลืออะไรล่ะครับ นอกจาก “ความแก่”
กับ
“ความประหลาดใจ” ว่าเราแก่เร็วกว่าวัยได้อย่างไร
เลิอก “หวาน” ให้ถูก ช่วยแก้ปัญหาได้
โรคติดน้ำตาลนั้นฟังๆ ดูก็เหมือนจะน่ากลัวอยู่ใช่น้อย แต่ที่จริงแล้วน้ำตาลนั้นมีประโยชน์มหาศาล
ต่อร่างกายเรา เอาเป็นว่าพลังงานส่วนใหญ่ที่ร่างกายของเราสร้างให้ใช้ดำรงชีวิตอยู่ได้นั้นก็มาจากการสลายน้ำตาล
กลูโคสนี่แหละครับ
แต่ทีนี้มันมากเกินไป นอกจากจะให้เป็นพลังงานแล้วยังปล่อยของเสียออกมาเป็น “อนุมูลอิสระ
(free radical)” ด้วย ดังนั้นเพื่อให้ได้มีสุขภาพดีถึง 120 ปี จึงต้อง
1. เลือกชนิดของน้ำตาลให้ถูก
2. จำกัดปริมาณให้อยู่ในระดับที่ “เหมาะสม”
3
โดยอานิสงส์จากการปฏิบัติทั้งสองข้อนี้ จะทำให้เราห่างจากโรคน้ำตาลและพื้นอารมณ์ไม่สวิงสวาย
มากจนเกินไปด้วยครับ มาเริ่มกันที่การเลือกอาหารหวานสำหรับรับประทานให้ถูกชนิด โดยผมได้เลือกชนิดของ
อาหารที่เหมาะกับบ้านเรามาให้คุณลองเลือกรับประทานดูเมื่อเกิดอาการกระหายน้ำตาลขึ้นมาดังนี้ครับ
1. เมี่ยงคำ ซึ่งมีทั้งใบชะพลู หรือใบทองหลาง ซึ่งมีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และ
วิตามินเอในใบพืชเหล่านี้ถูกดูดซึมได้ดีเมื่อเรารับประทานกับมะพร้าวคั่ว (ดังนั้นอย่าแอบกินแต่กุ้งแห้งอย่างเดียว
นะครับ)
2. ถั่วลิสง ถั่วเหลือง อัลมอนด์ และธัญพืชต่างๆ (ที่ไม่ได้ปรุงรสด้วยน้ำตาล)
3. กล้วยหอมสุก 1-2 ลูก ด้วยว่ากล้วยหอมนี้มีแป้งน้ำตาลที่ไม่ได้ถูกดูดซึมเร็วนัก ทำให้ระดับ
อินซูลินในเลือดของคุณไม่ขึ้นพรวดพราด นอกจากนั้น ยังมีสารทริปโตแฟน (Tryptophan) ที่ช่วยทำให้คุณ
รู้สึกสบายใจอีกด้วย
4. แครอทหรือเซเลอรี่ หั่นเป็นแท่งจิ้มกับโยเกิร์ตไขมันต่ำ
5. แอปเปิ้ล ซึ่งเป็นเส้นใยแบบละลายน้ำได้ (Soluble fiber) อยู่มาก โดยเส้นใยชนิดนี้มีลักษณะ
เหมือนกับฟองน้ำที่สามารถดูดซับน้ำตาลที่สูงเกินไปและช่วยลดระดับอินซูลินในกระแสเลือดได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
เลือกน้ำตาลผิด มีพิษถึงตาย
ทุกวันนี้คนไทยเราบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยปีละ 30 กิโลกรัม ซึ่งนับว่ามากโขอยู่ บางคนอาจปฏิเสธว่าคง
กินไม่ถึงปานนั้น แต่อาหารประจำวันที่เรารับประทานมีน้ำตาลอยู่มากจนเราคิดไม่ถึงทีเดียว
เช่น น้ำผลไม้ซึ่งแม้จะยืนยันนั่งยันว่าหวานจากธรรมชาติจริง แต่นั่นก็คือน้ำตาลประเภทหนึ่งที่กระตุ้น
อินซูลินเช่นกัน บางท่านลดน้ำหนักเท่าใดแต่ยังไม่ลงก็ลองเลิกดื่มน้ำผลไม้แล้วกินแต่น้ำเปล่าดูสักเดือน จะเห็น
น้ำหนักลดลงอย่างชัดเจน หรือน้ำอัดลม ชา แกแฟ โอวัลตินที่ดื่มอยู่ทุกวันก็ล้วนแล้วแต่ปรุงด้วยน้ำตาลทั้งสิ้น ถึง
ตอนนี้บางท่านอาจสงสัยว่าแล้วน้ำตาลเทียมใช้ได้หรือไม่ ก็ขอบอกว่าใช้ได้ครับ
แต่มีข้อที่ต้องระวังให้จงหนักคือน้ำตาลเทียมนั้นอย่าให้โดนความร้อนเด็ดขาด เพราะจะเปลี่ยนไปเป็น
สารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะท่านที่ใช้น้ำตาลเทียมชงกาแฟในน้ำร้อยหรือปรุงรสในอาหารร้อน นับเป็นการเสี่ยงอย่าง
มากเทียวครับ
ดูน้ำตาลแล้วย้อนดูตัว
จะว่าไป “โรคติดน้ำตาล” นี้ก็ให้สัจธรรมแก่เราได้อย่างดีเชียวครับ ด้วยว่าเมื่อกินเข้าไปแรกๆ ก็ทำ
ให้กระชุ่มกระชวย ชื่นหัวอกหัวใจหายเหนื่อย แต่พอได้รับมากเกินไป ต่อมาก็ทำให้เกิดภาวะหดหู่ซึมเศร้าได้
อารมณ์จากที่เคยขึ้นสูงกลับดิ่งเหวลงต่ำ เรียกว่า ถ้าตามใจปาก กินหวานๆมาก ก็จะสุขแค่ชั่วยาม แล้วก็มาทุกข์ใน
ภายหลัง
เหมือนกับชีวิตของเราที่เมื่อตะเกียกตะกายไขว่คว้าขึ้นไปจนสูงสุดเหนือมนุษย์คนใดๆ แล้วถ้าถึงเวลา
ที่ต้องตกลงมามันจะเจ็บหนักกว่าคนธรรมดา หรือความประมาทใน “สังขาร”
ก็เช่นกัน หากมัวแต่พานคิดว่าการ
ที่ “ยังไม่มีโรค” คือมี “สุขภาพดี” แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างหมดเปลือง หาความสุขให้แก่ตัว อย่างเต็มที่นั้น เรียกว่าให้