วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาการล้างพิษตับที่ "ผู้หญิง" มีข้อควรระวังมากกว่า "ผู้ชาย" (ตอนที่ 1) : ฮอร์โมนเพศสำคัญไฉน?

 ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
      
        เมื่อศึกษาการล้างพิษตับในประเทศไทย ก็พบข้อมูลชิ้นหนึ่งที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ก็คือ "อาการปะทุพิษที่รุนแรง" เช่น มีผื่นขึ้นรุนแรง มีน้ำเหลืองออกมาตามร่างกายจำนวนมาก ผิวหนังแห้งแตกจนมีบาดแผลเกิดขึ้นตามร่างกาย ฯลฯ แม้อาการนี้จะไม่ได้พบบ่อยนัก แต่ในจำนวนที่พบอาการดังกล่าวนั้นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเกิดในผู้หญิงมากว่าผู้ชายที่เข้าหลักสูตรล้างพิษตับ
      
        ผู้หญิงเหล่านี้มักจะมีประวัติพื้นฐานที่คล้ายคลึงกันก่อนเข้าหลักสูตร เช่น ดื่มนมวัว หรือผลิตภัณฑ์จากนมวัวมาก มีการใช้ยาแก้อักเสบเป็นประจำ ใช้ยากดภูมิประเภทสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ฯลฯ 
แต่ผมเองเดิมก็ยังไม่ได้ตามหาเหตุผลว่าทำไมอาการปะทุพิษรุนแรงถึงได้เกิดขึ้นกับแต่ผู้หญิง
      
        เมื่อศึกษาและตามหาข้อเท็จจริงทั้งจากการอ่านและสอบถามผู้รู้ ก็พอจะปะติดปะต่อกันได้จากงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นอาจเป็นเพราะความแตกต่างระหว่าง"ฮอร์โมน" และ "อัตราการเผาผลาญอาหารเป็นพลังงาน" ในร่างกายของ "ผู้หญิง" กับ "ผู้ชาย"ที่ไม่เหมือนกัน
       
        จากงานวิจัยค้นคว้าที่มีชื่อว่า "Factors Affecting the Storage and Excretion of Toxic Lipophilic Xenobiotics" แปลเป็นไทยก็คือ "ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการสะสมและการขับถ่ายออกของสารพิษจากภายนอกที่ละลายในไขมัน" ซึ่งจัดทำโดย Ronal J. Jandacek และ Practick Tso จากภาควิชาพยาธิวิทยา มหาวิทยาลัยแห่งซินซิเนติ เมืองซินซิเนติ มลรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์เมื่อ ปี พ.ศ. 2544 ทำให้เรารู้ได้ว่าสารพิษจากยาฆ่าแมลง สารพิษจากขยะโรงงานอุตสาหกรรมที่ปนเปื้อนในอาหารนั้นสามารถละลายอยู่ในไขมัน ดังนั้นในระหว่างการอดอาหารร่างกายเราจะนำไขมันมาเผาผลาญ (metabolism)เพื่อผลิตเป็นพลังงาน ผลก็คือทำให้สารพิษที่ละลายในไขมันสามารถลดลงไปด้วย
      
        ดังนั้นเพียงแค่เราอดอาหารได้ ก็เป็นจุดเริ่มที่จะละลายสารพิษไขมันได้แล้ว !!!
      
        แต่ก็ใช่ว่าร่างกายเราจะสามารถทำการเผาผลาญไขมันให้มาเป็นพลังงานในระหว่างการอดอาหารของแต่ละคนได้เหมือนกัน
ภาพที่ 1 กราฟค่าเฉลี่ย การเพิ่มขึ้นของระดับคอสเตอรอลระหว่าง 3 วันในช่วงเวลาอดอาหาร (การสำรวจโดยนายแพทย์ Norman Ende ภาควิชาพยาธิวิทยา มหาวิทยาลัย แวนเดอร์บิลท์ เมืองแนชวิลล์ มลรัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา)
       นิตยสาร American Journal of Clinical Nutrition ฉบับที่ 11 ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ. 2505 ของนายแพทย์ Norman Ende ภาควิชาพยาธิวิทยา มหาวิทยาลัย แวนเดอร์บิลท์ เมืองแนชวิลล์ มลรัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการอดอาหารติดต่อกันเกิน 72 ชั่วโมง แต่เป็นการศึกษาที่สรุปเอาไว้ว่าระหว่างการอดอาหารคอเลสเตอรอล (ไขมันชนิดเลว)และไตรกลีเซอไรด์ในเส้นเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น (ยกเว้นคนที่เป็นโรคหลอดเลือดแข็งตัว) หมายความว่าระหว่างการอดอาหารร่างกายเราจะดึงไขมันที่อยู่ในระดับเซลล์ออกมาใช้เพื่อผลิตเป็นพลังงานโดยลำเลียงผ่านหลอดเลือดในร่างกายเรา และเมื่อเราเลิกอดอาหารระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ก็จะทยอยลดลงไปตามลำดับ และตามสภาพร่างกายของแต่ละคน
       
        ผู้หญิงโดยทั่วไปจะมีอัตราการเผาผลาญต่ำกว่าผู้ชาย นั่นหมายความว่าผู้หญิงมีโอกาสที่จะเผาผลาญไขมันรวมถึงสารพิษได้ช้ากว่าผู้ชาย !!!
       
        เหตุผลก็เพราะผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศสำคัญที่เรียกว่า "โปรเจสเตอโรน" (Progesterone) กับ "เอสโตรเจน" (Estrogen) ถ้าฮอร์โมนเอสโตรเจนมีความไม่สมดุลกับโปรเจสเตอโรน โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงโดดเด่นกว่าฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เอสโตรเจนที่โดดเด่นนี้เองจะไปทำหน้าที่ในการกดธัยรอยด์ฮอร์โมนให้ต่ำลง ซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราการเผาผลาญสารอาหารหรือไขมันสะสมให้ผลิตมาเป็นพลังงานนั้นลดต่ำลงด้วย

      
        การเผาผลาญสารอาหารหรือไขมันสะสมให้เป็นพลังงานที่ต่ำอันเนื่องมาจากธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำในผู้หญิง เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่โดดเกินสมดุลกับโปรเจสเตอโรน จึงทำให้ผู้หญิงอ้วนได้ง่ายกว่าผู้ชาย มีไขมันในเส้นเลือดได้ง่ายกว่าผู้ชาย แม้บางครั้งจะรับประทานอาหารน้อยกว่าผู้ชายก็ตาม
      
        อาการของผู้หญิงทีเกิดภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำแฝงเกิดขึ้นง่ายในยุคนี้ เรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เมื่อระบบการเผาผลาญไม่ดี พลังงานก็เกิดน้อย จึงเกิดอาการได้หลายอย่าง เช่น หนาวง่าย มือเท้าเย็น บวมที่ข้อมือ เปลือกตาบวมโดยเฉพาะช่วงเวลาตื่นนอน ชาตามปลายมือ เกิดพังผืดรัดข้อมือ ปวดข้อ ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมามาก เป็นหวัดบ่อย ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจบ่อยๆ ท้องผูก (เพราะลำไส้เคลื่อนตัวช้า) เกิดอาการซึมเศร้าและมีปัญหาอารมณ์ที่ไม่แจ่มใส นอนไม่ค่อยหลับ อ้วนง่ายหรือคอเลสเตอรอลในเลือดสูงเพราะเผาผลาญได้ต่ำ ปวดหัวหรือมีอาการปวดหัวไมเกรนช่วงมีประจำเดือน หรือปวดหัวจากที่ท้องผูกและอาหารหมักหมมในลำไส้มาก ผิวหนังแห้ง มีสิว ผื่นขึ้น ลมพิษขึ้น สะเก็ดเงิน ผมร่วง ปกติหัวใจเต้นช้าผิดปกติ บางกรณีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติเพราะร่างกายหลั่งฮอร์โมนแอดดรีนาลินมาช่วยการทำงานแทนธัยรอยด์ฮอร์โมน เมื่อเป็นนานเข้าอาจะเกิดอาหารลิ้นหัวใจรั่วได้ ฯลฯ
      
        ถามว่าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเป็นกับผู้หญิงจำนวนมาก คำตอบนี้ นายแพทย์เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ ได้กรุณารวบรวมเอาไว้ในหนังสือชื่อ ทำไมคุณถึงป่วย? (เล่ม 2) โดยได้สรุปสาเหตุของภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ ดังต่อไปนี้
      
        1. ตามรายงานของ ดร.ลิต้า ลี จากมลรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา พบว่า เกิดจาก "คลื่นรังสี" จากเครื่องไฟฟ้าทั้งหมด เช่น โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์มือถือ ไอแพด คอมพิวเตอร์ สายไฟฟ้าแรงสูง ตู้เย็น เตาอบไมโครเวฟ (ดังนั้น ควรอยู่ห่างจากเครื่องไฟฟ้าเหล่านี้เท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะพวกนอนกอดพร้อมกับไอแพดที่ชาร์ตแบตเตอรี่ทั้งหลาย)
        2. กินผลิตภัณฑ์ที่มีถั่วเหลืองมากไป (รวมน้ำเต้าหู้) ซึ่งมีสารต้านธัยรอยด์
        3. กินหวานทุกชนิดมากเกินไป (เช่น น้ำหวาน, น้ำอัดลม, ผลไม้หวาน, น้ำผลไม้หวาน)
        4. มีเอสโตรเจนจากภายนอกมากเกินไป เช่น ยาคุม ยาแก้สิวบางชนิด ยาฮอร์โมนวัยทอง รวมถึงสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายแล้วออกฤทธิ์ที่มีเอสโตรเจนมากเกินไป เช่น น้ำยากฟอกสี น้ำยาขัดเบาะ ฯลฯ
        5. รับประทานอาหารที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนจากสัตว์ ได้แก่ เนื้อสัตว์ นมวัว นมแพะ ไข่ไก่ ไข่เป็ด
        6. กินไขมันมากไป เพราะไขมันโดยตรงจะต้านการทำงานของธัยรอยด์ (ตรงนี้สำคัญ เพราะเชื่อมโยงกับการดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อล้างพิษตับด้วย)

        7. แร่ธาตุไอโอดีมากเกินไป จะทำให้เป็นทั้งธัยรอยด์เป็นพิษและธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำได้ทั้งคู่
        8. มีโลหะหนักบางชนิด เช่น ปรอท (ที่ผสมอยู่ในที่อุดฟันสีเงิน)
        9. รับประทานพืชบางชนิดที่ต้านธัยรอยด์เพราะไม่ผ่านความร้อนมาก่อน เช่น คะน้า กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ บล็อคโคลี ผักเหล่านี้ไม่ควรกินสด ควรจะต้องผ่านความร้อนก่อน
        แต่จากการศึกษาผมกลับเห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องระบุอีก 3 สาเหตุเพิ่มเติมที่ทำให้เกิดภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ อันจะเป็นการเชื่อมโยงกับการล้างพิษตับด้วยคือ
       
        10. เกิดภาวะเครียดบ่อยๆ และนานเกินไป
        11. อดอาหารบ่อยๆและนานเกินไป
        12. อดนอนหรือนอนดึก และนอนน้อยเกินไป

      
        ซึ่งใน 3 ประการหลังนี้ กลุ่มฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะฮอร์โมนที่สำคัญในกลุ่มนี้ซึ่งก็คือ ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งผลิตมาจากต่อมหมวกไต โดยในระหว่างการอดอาหารนี้กลูโคคอร์ติคอยด์ได้ชื่อว่าเป็นฮอร์โมนแห่งการอดอาหาร (hormone of starvation) จะกระตุ้นเซลล์ตับให้เปลี่ยนกรดไขมันและกรดอะมิโนบางตัวเป็นกลูโคส และเก็บสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจน (gluconeogenesis) เรียกว่า กลูโคส สแปริ่ง เอฟเฟ็ก (glucose – sparing effect) ซึ่งเป็นขบวนการที่สำคัญ เพราะจะมีผลในการเผื่อน้ำตาลกลูโคสไว้ให้สมองใช้งานได้ตลอดเวลา
      
        เมื่อปี พ.ศ. 2551 งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเซนต์ หลุยส์ มลรัฐมิซูรี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุอย่างชัดเจนว่าในการจำกัดปริมาณแคลอรี่ในอาหารที่เรากินนั้น จะเป็นผลทำให้การผลิตธัยรอยด์ฮอร์โมน T3 ต่ำลง ซึ่งจะเป็นผลทำให้อัตราการเผาผลาญต่ำลงไปด้วย ดังนั้นถ้าอดอาหารเป็นช่วงๆนานเกินไป แล้วกลับไปกินในปริมาณเท่าเดิมก็อาจจะอ้วนขึ้นกว่าเดิม หรือไขมันในเส้นเลือดมากกว่าเดิมได้
      
        เช่นเดียวกับภาวะเครียดมากๆ หรือนอนน้อย ฮอร์โมนคอร์ติซอล ก็จะพยายามต้านความเครียด ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำตาลกลูโคสเช่นกัน หรือทำให้เรามีความต้องการอยากรับประทานหวานหรือแป้งและน้ำตาลเพื่อต้านกับภาวะความเครียด ถ้าร่างกายเกิดภาวะที่ต้องผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลนี้บ่อยๆ นานๆ ต่อมหมวกไตก็อาจจะเกิดอาการล้าได้
      
        และเรื่องนี้มาเกี่ยวกับการล้างพิษตับก็ตรงที่ว่า หากคนที่มีภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำอยู่แล้ว และมาอดอาหารนานๆ หรือเลวร้ายกว่านั้นมีภาวะเครียดในระหว่างการอดอาหารร่วมด้วย เมื่อต่อมหมวกไตเกิดอาการล้าจากการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลไม่เพียงพอ ในร่างกายผู้หญิงจะนำฮอร์โมนเพศ "โปรเจสเตอโรน" มาช่วยทำงานแทนฮอร์โมนคอร์ติซอล
      
        ผลก็คือผู้หญิงคนนั้นจะมีโปรเจสเตอโรนลดลง และทำให้เอสโตรเจนสูงขึ้น จนถึงขั้นไม่สมดุล จนถึงขั้นเกิดภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำลงไปอีก 
การเผาผลาญก็จะน้อยลงไปอีก ส่งผลก็คือในกรณีเช่นนี้ยิ่งล้างพิษตับ ยิ่งอดอาหาร แต่กลับยิ่งอ้วนหรือยิ่งมีไขมันในเส้นเลือดสูงขึ้นแม้เวลาผ่านไปหลังล้างพิษตับไปแล้ว 1-2 เดือนก็ตาม หรือเมื่อล้างไปแล้วปรากฏว่าไม่สามารถเผาผลาญสารพิษที่ออกมาจากการล้างพิษตับได้ เพราะลำไส้เคลื่อนตัวช้าและเกิดการดูดกลับในระหว่างการล้างพิษมากกว่าการขับถ่ายออกเมื่อการเผาผลาญในร่างกายต่ำ จึงทำให้เกิดอาการผื่นแพ้ได้ง่ายกว่าเดิมได้ด้วย
      
        ดังนั้นถ้าคนที่มีพฤติกรรมและอาการดังกล่าวข้างต้น และถ้าวัดอุณหภูมิตอนเช้าใต้ลิ้น หากได้ค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 36.4 องศาเซลเซียส ตลอดระยะเวลา 5 วัน ต้องตระหนักว่าอาจมีความเสี่ยงภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำแฝงเกิดขึ้นแล้ว !!!
      
        ในทัศนะของผมส่วนตัวจึงเสนอว่า คนที่เป็นภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำแฝงอยู่แล้ว ไม่ควรอดอาหารยาวๆ และไม่ควรดื่มน้ำมันมะกอกในปริมาณมากๆ หรือดื่มหลายๆแก้วในการล้างพิษตับรอบเดียว ไม่เช่นนั้นก็จะมีความเสี่ยงในการปะทุพิษอย่างรุนแรงและอันตรายอย่างมาก เพราะเห็นมาหลายรายแล้วจริงๆ !!!

     
ที่มา www.manager.co.th

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

“มวยไทยแอโรบิก” หมัด ศอก เข่า เตะ เพื่อคนรักสุขภาพ

       กระแสการรักษาสุขภาพยังคงแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะท่ามกลางการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หลายคนเลือกจะออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่มีอยู่หลายจุดทั่วกรุงเทพและในแต่ละจังหวัด รูปแบบไม่ต่างกันมากเท่าใด คือมีคนนำเต้น มีเพลงมันส์ๆ จากนั้นก็ใส่กันโลด เต้นทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ก็ได้ตามเป้าหมายหลักคือได้ขยับแข้งขาเรียกเหงื่อกันคนละ 30-45 นาที ร่างกายแข็งแรงสุดๆ
      
       แต่ถ้าจะสังเกตสักนิดจะพบว่าทุกลานแอโรบิกมักเต็มไปด้วยคุณสาวๆ ทั้งสาวแท้ สาวเทียม พาลเอาคุณผู้ชายทั้งหนุ่มน้อยและหนุ่มเหลือน้อยออกอาการเขิน ไม่ค่อยกล้าออกไปร่วมวง บางคนกังวลถึงขนาดกลัวคนอื่นมองว่า “ไม่แมน” กลายเป็น “เก้ง-กวาง” ไปโน่นเลย ทำให้หนุ่มๆ จำนวนมากพลาดโอกาสออกเหงื่อเพื่อสุขภาพแนวนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
       หากในขณะนี้ปัญหานี้จะถูกกำจัดไป เมื่อมีการคิดการออกกำลังกายที่ชื่อว่า “มวยไทยแอโรบิก” ขึ้นมา
       นพ.อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ ผอ.กองออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยที่มาของการออกกำลังกายแนวใหม่ อย่าง “มวยไทยแอโรบิก” ว่า เป็นเพราะสังเกตว่าที่ลานแอโรบิกที่มีอยู่ทั่วทุกชุมชนนั้น ผู้ที่ใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นสุภาพสตรี ทั้งที่การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่ดีมาก จึงอยากคิดวิธีการออกกำลังกายแนวนี้ที่ทุกเพศทุกวัยสามารถทำได้ โดยนำกีฬาที่ห้าวหาญบึกบึนแข็งแกร่งตามสไตล์การต่อสู้เก่าแก่ของบ้านเราอย่าง “มวยไทย” มาผสมผสานกับรูปแบบการออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างแอโรบิกเข้าไว้ด้วยกัน
       

      
       “แอโรบิกเป็นการออกกำลังกายระดับกลาง เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย แต่เสียดายตรงที่สังเกตดูหลายหนแล้วจะไม่ค่อยมีผู้ชายเล่น ก็เลยอยากทำแอโรบิกที่ผู้ชายรวมถึงทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็กรวมไปถึงผู้สูงอายุก็เล่นได้ เราได้รับความร่วมมือจากสถาบันวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งวิจัยและให้ข้อมูลแก่เราว่ารูปแบบท่ามวยไทยหากทำต่อเนื่องแล้วจะคล้ายกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก และท่ามวยไทยที่มีมากมายนั้นสามารถนำมาปรับใช้ออกกำลังได้แทบทุกส่วนของร่างกาย แถมสามารถประยุกต์บางท่าที่ไม่หนักจนเกินไปให้เหมาะแก่ผู้สูงอายุได้อีกด้วย
      
       “ส่วนเรื่องของการออกแบบท่านั้นเราได้รับความร่วมมือจากอาศรมศิลป์ ซึ่งเป็นสถาบันที่ทำด้านอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยด้านศิลปะป้องกันตัวและการต่อสู้โดยเฉพาะ โดยได้เลือกท่ามวยไทยแท้ๆ และนำแต่ละท่าที่เหมาะสมมาร้อยให้ต่อเนื่องให้เป็นรูปแบบการออกกำลังกาย
       หมออรรถพลให้ภาพต่อไปอีกว่า ท่าต่างๆ ที่นำมาจัดทำเป็นมวยไทยแอโรบิกนั้น มีครบทั้งหมัด ศอก เข่า เตะ ในหมวดหมัดก็จะมีหมัดตรง หมัดเสย หมัดงัด เข่าก็จะมีเข่าตรง ท่าเตะก็จะมีเตะตรง เตะเฉียง เตะเสย เตะตัด ท่าศอกจะมีศอกตรง ศอกเสย ศอกเฉียง และศอกกลับ รวมถึงมีท่าพิเศษต่างๆ ตามรูปแบบแม่ไม้มวยไทย เช่น จระเข้ฟาดหาง แต่หากกลุ่มเป้าหมายที่มาออกกำลังกายเป็นผู้สูงอายุ ก็จะเน้นการนำออกกำลังกายเป็นท่าหมวดหมัดและศอก จะเว้นหมวดที่ใช้เท้าทั้งเข่าและเตะ รวมถึงท่าพิเศษจำพวกแม่ไม้มวยไทยอื่นๆ เพื่อความปลอดภัยของผู้ออกกำลังกายสูงอายุด้วย
      
       ผอ.กองออกกำลังกายฯ เล่าถึงความคืบหน้าล่าสุดของโปรเจ็กต์นี้ต่อไปอีกว่า เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คณะทำงานชุดเผยแพร่การออกกำลังกายแบบมวยไทยแอโรบิกก็ได้ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรีเพื่อจัดกิจกรรมแนะนำมวยไทยแอโรบิกที่สนามกีฬาจังหวัด มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 3,000 คน ซึ่งถือว่าประชาชนตอบรับดีมากโดยเฉพาะเด็กผู้ชายและวัยรุ่นชายที่ดูเหมือนจะชอบการออกกำลังกายแนวแมนๆ อย่างมวยไทยแอโรบิกเป็นพิเศษ
       “ที่ไปเริ่มที่แรกที่ราชบุรี เพราะ อ.วิชิต เชื้อเชิญ ซึ่งเป็นอาจารย์จากอาศรมศิลป์ท่านเป็นคนที่นี่ และมีลูกศิษย์ลูกหาที่สนใจมาศึกษาเรื่องมวยไทยและศิลปะป้องกันตัวจากท่านเยอะ วันที่จัดงานมีกิจกรรมเกี่ยวกับมวยไทยแอโรบิกมากมาย ทั้งนำเต้นพร้อมกันและการจัดการแข่งขัน โดยเราแบ่งประเภทผู้เข้าแข็งเป็นประเภทเด็กนักเรียนและประชนชนทั่วไป ซึ่งก็มีผู้สนใจมาสมัครแข่งกันหลายสิบทีม”
      
       ถึงตรงนี้ผู้อ่านหลายคนคงจะเริ่มสนใจการออกกำลังกายรูปแบบทะมัดทะแมงนี้แล้ว แต่อาจจะยังกังขาเรื่องผลที่จะได้รับจากมวยไทยแอโรบิกว่าเป็นอย่างไร ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงได้อย่างไรบ้าง
       นพ.อรรถพลก็ได้อธิบายโดยอ้างอิงผลการศึกษาของสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้การสนับสนุนของเครือข่ายวิจัยสุขภาพ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ว่า หากออกกำลังกายด้วยรูปแบบมวยไทยสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละประมาณ 30 – 40 นาที ช่วยให้การทำงานของหัวใจ ปอด ดีขึ้น ระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น การออกกำลังกายแบบมวยไทยนี้ เหมาะกับคนทุกเพศ ทุกวัย
       

       “มวยไทยแอโรบิกเป็นการทำท่าแบบต่อเนื่อง ถือเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกแบบหนึ่ง ซึ่งจะสามารถสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกายได้ ที่สำคัญก็คือต้องออกกำลังเป็นประจำสม่ำเสมอ ทำแค่ 15-30 นาทีก็ได้ครับ แต่อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 หน แต่ถ้าทำได้ทุกวันยิ่งดี”
       หมออรรถพลยังได้บอกถึงก้าวต่อไปของโครงการดีๆ แบบนี้ว่า ในปีหน้าหากของบประมาณได้ จะเดินสายจัดกิจกรรมเผยแพร่แนวทางการออกกำลังกายมวยไทยแอโรบิกให้ได้ทุกภาคของประเทศ อย่างน้อยภาคละ 1 ครั้ง เพื่อให้ประชาชนทุกภาคได้รู้จักและเข้าถึงเพื่อสามารถทำไปใช้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้

ที่มา www.manager.co.th

ผอมในไม่กี่ชั่วคืน

ยามที่คุณหลับ กลไกในร่างกายยังคงทำงานอยู่

และในช่วงนี้แหละเป็นโอกาสที่ไขมันจะถูกกำจัดออกไปได้ แค่ควบคุมอาหารสักหน่อย และนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ คุณอาจลดได้ถึงราว 2.7 กิโลกรัม ใน 5 วันเลยทีเดียว
มื้อเช้า ยังคงยึดคอนเซ็ปต์ที่ว่ามื้อเช้าสำคัญที่สุด คุณจึงสามารถบริโภคคาร์โบไฮเดรตเพื่อเสริมสร้างพลังงาน อาจเริ่มด้วยมูสลี่สักชามตามด้วยแซนด์วิชหรือครัวซองต์สักสองชิ้นก็ยังด้ แต่จำไว้ว่าข้อห้ามคืออย่าทานของกินเล่นใดๆ ทั้งสิ้นก่อนจะถึงมื้อกลางวัน
มื้อกลางวัน เน้นโปรตีนจากเนื้อปลาและเนื้สัตว์ที่เป็นเนื้อล้วนไม่ติดมัน คาร์โบไฮเดรตก็ยังได้อยู่เมนู ที่เลือกกินได้ก็เช่น ก๋วยเตี๋ยว หรือ พาสต้า ผักโขมอบชีสก็ยังอนุโลมอยู่ เน้นพวกผักด้วยสักหน่อยก็ดี และหลังจากมื้อกลางวันไป ของกินเล่นก็ยังถือว่าต้องห้ามอยู่ อดใจรอมื้อเย็นเลยดีกว่า
มื้อเย็น เพื่อให้การลดน้ำหนักโดยอาศัยการนอนประสบผลสำเร็จ มื้อเย็นจึงต้องประกอบด้วยโปรตีนและผักเท่านั้น ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะช่วยให้การเผาผลาญไขมันในยามที่คุณหลับนั้นมีประสิทธิภาพขึ้นมากเลยล่ะ จึงเป็นกลเม็ดที่ทำให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น
 
ที่มา http://www.lisaguru.com

เตือน 5 โรคไลฟ์สไตล์คุกคาม

คุณเป็นอีกคนที่วิถีชีวิตอาจก่อให้เกิดโรครึเปล่า?

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวรณรงค์ คัดกรองทั่วไทย เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เพื่อคัดกรองทั้งสองโรค ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากไลฟ์สไตล์ที่คนไทยป่วยกันมากขึ้น โดยทั้งสองโรคทำให้เกิดโรคอื่นๆ ได้อย่างน้อย 5 โรค เช่น โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์/อัมพาต ไตวาย ตาบอด และอาจทำให้เสื่อมสรรถภาพทางเพศ โดยชี้ว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวปีละเกือบแสนราย และเข้าโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ คนปกติควรจะเสริมสร้างสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส. คือ ออกกำลัง อาหาร อารมณ์ ไม่ดื่มสุรา และไม่สูบบุหรี่ ทราบแล้วปฏิบัตินะจ๊ะ

ที่มา : http://www.lisaguru.com

แอปเปิ้ล บลูเบอร์รี่ ลดเสี่ยงเบาหวาน

ถ้าคุณติดน้ำตาลแต่กลัวโรคเบาหวาน ลองกินผลไม้ดีๆ อย่าง บลูเบอร์รี่ แอปเปิ้ล และลูกแพร์ ดูสิ!

โดย นักวิจัยนาม An Pan จาก Harvard School of Public Health เปิดเผยใน American Journal of Clinical Nutritionว่า คนที่กินผลไม้เหล่านี้ในปริมาณมาก จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานประเภทสองน้อยลง โดยคนกินบลูเบอร์รี่จะมีโอกาสเป็นเบาหวานน้อยกว่าคนทั่วไปถึงร้อยละ 23 เช่นเดียวกับคนที่กินแอปเปิ้ลสัปดาห์ละอย่างน้อย 5 ผล นอกจากนี้ ยังเป็นที่ทราบกันดีว่า ผลไม้เหล่านี้เต็มไปด้วย "ฟลาวานอยด์" ซึ่งมีประโยชน์ในแง่ของการลดโอกาสเป็นโรคหัวใจและมะเร็งอีกด้วย

ที่มา : 
http://www.lisaguru.com

7 สุดยอดอาหาร อร่อยด้วย แถมประโยชน์เพียบ



7 Things With Super Food (Lisa)

          จิตใจแจ่มใส ร่างกาย แข็งแรง ชีวิตมีความสุข หากรู้จักเลือกรับประทานแต่สิ่งที่มีคุณต่อร่างกาย



1. รากบัว

          เป็นพืชจำพวกสมุนไพรที่จัดว่าเป็นยา มีฤทธิ์เย็นช่วยลดอาการร้อนใน ทั้งยังช่วยสร้างสมดุลของร่างกายได้จากรากของบัวหลวง สามารถทานได้ทั้งสุกและดิบ รากบัวที่ดีจะมีลักษณะสีขาวอวบใหญ่ ก่อนนำมาประกอบอาหาร ล้างขูดเปลือกนอกออกให้หมด หั่นเป็นชิ้นแล้วแช่ในน้ำผสมเกลือเล็กน้อย พักไว้ให้สิ่งสกปรกหลุดออก น้ำรากบัวคั้นสด หรือต้มนำไปแช่ให้เย็นแล้วดื่มร่างกายจะสดชื่นทันที เพราะในรากบัวมีสารช่วยดูดซึมความชุ่มชื่นค่ะ



 2. ทูน่า

          ปลาทะเลที่อุดมด้วยโปรตีนชั้นเยี่ยมที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์อื่น  ๆ แล้วยังมีไอโอดีนช่วยป้องกันโรคคอพอก ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายให้เจริญเติบโตตามวัย ไขมันที่ได้จากปลาทูน่าจัดเป็นไขมันชนิดดีที่จะช่วยป้องกันการสะสมของ "ไขมันอิ่มตัว" หรือ "คอเลสเตอรอล" ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เส้นเลือดอุดตัน รวมถึงทูน่าในแบบกระป๋องก็ยังอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณที่เท่ากับปลาสด เช่นเดียวกันค่ะ กรดไขมันเหล่านี้ช่วยป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ การอักเสบและการก่อตัวของลิ่มเลือดในหลอดเลือด ปลาทูน่ายังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก




 3. เต้าหู้

          ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองที่อุดมด้วยโปรตีนสูง เทียบเท่าหรือมากกว่าเนื้อสัตว์ บางชนิดถึงสองเท่าในปริมาณที่เท่า ๆ กัน จึงเป็นที่นิยมรับประทานทดแทนเนื้อสัตว์ เต้าหู้ย่อยง่าย ไม่มีคอเลสเตอรอล และราคาก็ไม่แพงจนเกินไป ด้วยความหลากหลายชนิดของเต้าหู้จึงง่ายต่อการเลือกใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ มาอร่อยง่ายและเร็วกับเต้าหู้ขาวนิ่มแบบญี่ปุ่น เพียงแกะออกจากห่อใส่ลงในถ้วยนำไปอุ่นในไมโครเวฟเพียงไม่กี่นาที เติมซีอิ๊วญี่ปุ่นเล็กน้อยก็อร่อยได้แล้วค่ะ



 4. น้ำมันรำข้าว

          ผลผลิตที่สกัดจากรำข้าวที่อุดมด้วยสาระสำคัญทางธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์สูงต่อร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง ลดความเครียดได้อีกด้วย มาเติมเต็มทุกมื้ออร่อยด้วย Ricely น้ำมันรำข้าวแท้ 100% ที่มีสารธรรมชาติ "โอรีซานอล" รวมทั้งมีไฟโตสเตอรอลและวิตามินอี ที่มีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ด้วยคุณสมบัติพิเศษไม่มีกลิ่นและไม่มีรส จึงทำให้อาหารทุกจานเข้าถึงรสแท้ของส่วนผสมและเครื่องปรุง ทั้งยังทนความร้อนสูง จึงเหมาะในการนำมาประกอบอาหารได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะใช้ทอด ผัด หมัก อบ ย่าง หรือนำมาเป็นส่วนผสมของน้ำสลัด



 5. มิโซะ (เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น)

          ผลิตผลแปรรูปจากถั่วเหลืองด้วย การหมัก อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ และโปรตีนสูง ยังอุดมด้วยกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการถึง 17 ชนิด มีสารชูรสที่มีประโยชน์และกลิ่นหอม ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในระหว่างการหมักที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย มิโซะมีรสคล้ายสารสกัดจากเนื้อสัตว์ จึงนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงอาหารทดแทนโปรตีนสำหรับของผู้ที่เว้นการทานเนื้อสัตว์ อร่อยกับน้ำสลัดมีโซะง่าย ๆ โดยละลายมิโซะกับน้ำมันงา น้ำตาลทรายแดง งาบด และเกลือนิดหน่อย ใครชอบรสเปรี้ยวเติมน้ำส้มสายชูเท่านี้ ก็ได้เป็นน้ำสลัดอร่อย ๆ แล้วค่ะ



 6. เห็ดหลินจือแดง

          ถือเป็นสมุนไพรชั้นสูงที่หายาก คุณสมบัติเทียบเท่ากับ "โสม" เป็นยาอายุวัฒนะที่สามารถคืนพลังให้ชีวิต มีสารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายกว่า 250 ชนิด ซึ่งสารต่าง ๆ เหล่านี้ทำงานประสานกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ช่วยยืดอายุให้ยืนยาว ช่วยบำรุงร่างกายแล้วยังทำให้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ชัดเจน และความจำดีขึ้น ช่วยการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสีหน้าแจ่มใส ชะลอความแก่ ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคและกำจัดสารพิษให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ อีกทั้งช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง "เห็ดหลินจือแดง" ถือว่าเป็น "สุดยอดแห่งสมุนไพร" ที่เป็นที่ยอมรับกันไปทั่วโลก



 7. พรุน

          ผลไม้มหัศจรรย์ ที่อุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์สูงมากมีคุณสมบัติทำให้ขับถ่ายได้คล่อง เป็นยาระบายได้อย่างปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยังอุดมด้วยสารอาหารต่าง ๆ มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดง ทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื้น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย มี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกาย และสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลง ปัจจุบันมีการนำพรุนมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้หรือนมเปรี้ยวที่มีรสชาติอร่อย และได้ประโยชน์ไปพร้อมกัน


ขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
Credit : www.kapook.com

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หน้าแรก บ้านสุขภาพดี.com

เกี่ยวกับ บ้านสุขภาพดี.com


ติดต่อ : บ้านสุขภาพดี.com
ด้วยอุดมการณ์แน่วแน่ของทีมงาน "บ้านสุขภาพดี.com" ที่ได้เล็งเห็นถึงสุขภาพที่ดีของผู้่รักสุขภาพทุกคน ดังนั้น จึงได้จัดทำเว็บไซท์ www.บ้านสุขภาพดี.com ขึ้น  เพื่อใช้เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับสุขภาพ การดูแลสุขภาพ  และสาระความรู้เกี่ยวกับการล้างพิษตับ

บ้านสุขภาพดี.com เราเปิดให้บริการล้างพิษตับด้วยทีมงานมืออาชีพที่มีประกาศนียบัตร วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ) เป็นหลักประกันความมั่นใจ

ทำไมต้องล้างพิษตับ


ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่บริโภคอาหารนอกบ้าน การที่สารอาหารที่มีประโยชน์และมีโทษ เข้าสู่ร่างกายเป็นประจำทุกวัน ย่อมต้องสะสมในร่้างกายบ้างไม่มากก็น้อย บางคนก็อาจโชคร้ายเป็นโรคภัยไข้เจ็บ แต่บางคนก็อาจยังโชคดีอยู่ แล้วถ้าหากเราต้องการ ล้างพิษตับ ออกจากร่างกาย เราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร



การเตรียมตัวก่อนการล้างพิษตับ

เพื่อให้การ ล้างพิษตับ ได้ผลดี ท่านควรงดบริโภคเนื้อสัตว์ก่อนเข้าคอร์ส ล้างพิษตับ ประมาณ 7 วัน




เข้าคอร์ส ล้างพิษตับ ที่ไหนดี



อันที่จริง ไม่ว่าจะเข้าคอร์ส ล้างพิษตับ ที่ไหนก็คงเหมือน ๆ กัน แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงให้มากก็คือ 

  • ผู้จัดคอร์ส ล้างพิษตับ เป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ และมีใบประกอบโรคศิลป์ในวิชาชีพนั้น ๆ หรือไม่
  • สถานที่ที่จัดคอร์ส ล้างพิษตับ มีความสะดวก สะอาด ปลอดภัย 
  • สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องน้ำสะอาด / มีห้องอบซาวน์น่าบริการ ฟรี
  • เทคโนโลยีทันสมัย เช่น มีเครื่องทำน้ำด่างอัตโนมัติ
  • มีเครื่องวัดความดัน / เครื่องวัดค่ากรด-ด่าง ของน้ำ
  • มีสันทนาการให้ผ่อนคลาย เช่น คาราโอเกะ  , อินเตอร์เน็ต Wi-Fi ไว้บริการฟรี ฯลฯ
  • สถานที่ไม่ไกลจากใจกลางกรุงเทพ



เลือกที่ "บ้านสุขภาพดี.com" เป็นทางเลือก


เลือกที่ "บ้านสุขภาพดี.com" เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคุณ เพราะเรามีทีมงานที่คอยเอาใจใส่ดูแลทุกท่านตลอด 24 ชั่วโมง มีอุปกรณ์ทันสมัย  สถานที่สะอาด  สะดวก  ปลอดภัย   และอยู่ไม่ไกลเพียง 5 นาที จากเซ็นทรัลรามอินทรา 

ทีมงาน บ้านสุขภาพดี.com หวังว่าจะได้รับความไว้วางใจจากทุกท่าน ขออำนวยพรให้ทุกท่านมีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ค่ะ




ก่อนจะมาเป็น "บ้านสุขภาพดี.com"

 และ

ความในใจของทีมงาน




สวัสดีคะ สำหรับทุกท่านที่มาเยี่ยมชม บ้านสุขภาพดี. com  เป็นธรรมเนียมที่จะต้องเอ่ยถึงที่มาที่ไปนะคะว่าทำไมถึงสนใจเรื่องสุขภาพ  

ดิฉันคิดว่า  คงคล้ายกับหลายท่าน  ที่เป็นพันธมิตร  ที่มาดูแลตัวเองและคนรอบข้าง   เพื่อนสนิทมิตรสหายร่วมรบ แรก ๆ ก็คิดว่าจะสู้กับคน  หรือกับโรค  เราต้องแข็งแรง  เริ่มจากได้ฟังอาจารย์ขวัญดินจาก ASTV. และจองคอร์สไป ล้างพิษตับที่โรงเรียนผู้นำ   ตอนนั้นจองสามเดือน   ไปทำหลักสูตร 5 วัน   

หลังจากกลับมาก็มาเปิดคอร์ส ล้างพิษตับภายในบ้าน   ทำให้พี่สาว  ลูก  และสามี   และมีโอกาสทำให้กับเพื่อนของพี่สาว  ที่มีอาการป่วย โดยหาสาเหตุไม่เจอ  มีอาการ ท้องไม่ถ่าย  ปวดท้องตอนห้าทุ่ม  ถึงเที่ยงคืน แน่นท้องอาหารไม่ย่อย   อ่อนแรง   น้ำหนักตัวน้อยกวาาปกติ  เลยชวนมา ล้างพิษตับ  กว่าจะมาได้ก็อ้อนวอนอยู่นานทีเดียว

 เมื่อมาทำครั้งแรกมีน้ำมันสีเขียวมรกต  เชียวแหละขอบอก  เมื่อถามจากผู้รู้ที่เป็นแพทย์  (หมอแผนไทยและแผนปัจจุบันคนเดียวกันคะ)  สีเขียวน่าจะเป็นถุงน้ำดีอักเสบ  มาดูนาฬิกาชีวิต   เอ้าที่พี่ท่านชอบปวดท้องตอนห้าทุ่มเป็นเวลาที่ถุงน้ำดีเธอทำงานนี่นา  โดยเรียนจากหนังสือของอาจารย์ อ. สุทธิวัสส์ คำภา  ระหว่างนั้นคิดในใจขอบพระคุณหนังสือของอาจารย์คะ   มีหลายเล่มคะ   ซื้อได้ที่ ร้านธรรมทัศน์สมาคม  ที่สันติอโศก  ถนนนวมินทร์ 48 คะ 

จากนั้น ได้ให้คุณหมอแผนไทยช่วย ดูเรื่องการไม่ถ่าย   อาหารไม่ย่อย และการนวดกดจุดลมปราน   ทำคู่ไปกับการทานอาหาร  ตามสูตรของหมอเขียว  ปรับสมดุลของร่างกาย  และทำการล้างพิษ

ปัจจุบันล้างครั้งที่ 4 แล้วคะ  ตอนนี้สุขภาพดี  หน้าตาสดใสขึ้น  และมีเพื่อน ๆ  ของพี่เค้าอีก 2 คนมีีอาการป่วยเหมือนกัน  มาทำได้ 2 ครั้งอาการดีขึ้น   จึงเกิดแรงบันดาลใจ  จับมือกับคุณหมอแพทย์แผนไทย  มาทำกันเถอะ   ทั้งสองคนก็ทุบกระปุก  ปรับปรุงบ้านคะ  เพื่อมาเป็นทางเลือกให้กับท่านที่ศรัทธาในสูตร ล้างพิษตับของ อ. ขวัญดิน  อ. แก่นฟ้า

ส่วนของหมอเขียวเป็นสูตรอาหารใช้ปรับสมดุลหลังจากล้างพิษ จะขอส่งความขอบคุณหมอเขียวทางบทความนี้ที่มีหนังสือดี ๆ มาให้อ่าน กิจกรรมต่าง ๆ ที่สามารถดูใน  ยูทูป  ได้  ขอบคุณทีมงานคะ       



 ส่วนท่านอาจารย์ขวัญดิน  ท่านก็ปรับสูตรการล้างพิษตับ  เพื่อให้ศิษย์ได้เรียนรู้  และปรับใช้ตามความเหมาะสม   สิ่งที่ลืมไมได้อีกท่านหนึ่งคะ   คือ อาจารย์ ปานเทพ ณ. สันปันน้ำ   นามสกุลนี้คุณ สนธิ   ลิ้มทองกุล ตั้งให้คะ   ดิฉันชอบคะเลยขอเรียกด้วยคน   

อาจารย์ ปานเทพนอกจากชำนาญเรื่องสันปันน้ำแล้ว   ยังชำนาญเรื่องสุขภาพอีกโดยการลงมือทำและได้มีหนังสือ  เรื่อง  กิน ดื่ม ด่าง ล้างพิษตับคะ   สนใจหาซื้อมาอ่านได้นะคะ  ถ้าจะหาที่ไหนไม่ได้ให้ไปที่ สันติอโศก  หรือ  ร้าน บุญอั่งเปานะคะ   เพราะเพิ่งได้มาคะ   

วันเปิดตัวหนังสือที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  ซื้อไม่ได้คะคิวยาวววววว  ม๊าก ๆ ๆ คะไม่คิดว่าอาจารย์ปานเทพของลุงป้าจะมีแฟน ๆ เยอะขนาดนี้ อีกอย่างสูตรนมถั่วเหลืองของอาจารย์ปานเทพสุดยอดคะ   เพราะพิสูจน์แล้วด้วยตนเองคะ   เพราะวัยทอง   ร้อน ๆ หนาว ๆ คะ   อ่านหนังสือว่ามีอาการอย่างนี้ต้องกินมนถั่วเหลือง แต่กินแต่ถั่วเหลืองอย่างเดียวไม่ได้เพราะ อาจารย์ สุทธิวัสส์ คำภา   ท่านเขียนในหนังสือนาฬิกาชีวิต   เมื่อสูตรของอาจารย์  ปานเทพมา  ก็ทำตามที่ อาจารย์บอก  

วันก่อน อาจารย์ มณีรัตน์มาเยี่ยมที่บ้านยังได้ให้อาจารย์  มณีรัตน์ทดลองทานนมสูตร อ.ปานเทพแต่ลืมถามว่าอร่อยไหม  กินนมถั่วเหลืองกับน้ำมะพร้าวคะ 3 อาทิตย์ดีขึ้น  และ กลับมาเป็นปกติคะ  ประจำเดือนที่หายไปกลับมาปกติคะ   กินมา เกือบสองเดือนเริ่มเบื่อ หยุดกิน  2 อาทิตย์กลับมีอาการเหมือนเดิมอีก เลยกลับมากินอีกตอนนี้กินอีก  สองเดือนแล้วลองหยุดใหม่เพื่อพิสูจน์ว่าใช่ไหม  

ในที่สุด พิสูจน์แล้วว่า  นมถั่วเหลืองสูตร อาจารย์ ปานเทพกับน้ำมะพร้าวใช้ได้ผล  กับอาการ วัยทองของดิฉันคะ ทานนมถั่วเหลือง  2-3 แก้ว  น้ำมะพร้าว 2-3 ลูกต่อวัน  ขอบอกคะ เจ๋งจริงคะ  ใครที่มีอาการวัยทอง อย่ากินฮอร์โมนเลยนะคะ  ลองเอาสูตรนี้ไปทำทานนะคะ      เราขอเป็นทางเลือกสำหรับสุขภาพของท่านในอนาคต  หันมาดูแลสุขภาพกันเถอะคะ   เราคือทางเลือก   แต่ท่า่นเลือกทาง     

ดาวน์โหลดใบสมัคร ล้างพิษตับ กับบ้านสุขภาพดี


สนใจ ล้างพิษตับ อ่านต่อ


สนใจจองหลักสูตรคอร์ส ล้างพิษตับ คลิกที่นี่




ดาวน์โหลด ใบสมัคร คลิกที่นี่




ติดต่อ-แผนที่ บ้านสุขภาพดี  คลิกที่นี่




วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อายุยืนต้องกิน“ผัก“ “ผัก“ครึ่ง อย่างอื่นครึ่ง...ก็ยืนได้

2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสไป "อีสาน" ลงสนามบิน "ขอนแก่น" รถวิ่งเข้าไปในเมืองผ่านตลาด และสถานีรถ บ.ข.ส.ไปหน่อย เห็นอนุสาวรีย์ยืนตระหง่านในสวนสุขภาพ ท่านคือ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" พลันให้นึกถึงคุณูปการที่ท่านได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็นถนน 4 เลน รวมถึงระบบโครงสร้างพื้นฐาน ระบบน้ำ ไฟฟ้า และการชลประทาน ยังความเจริญมาสู่ชาวอีสานโดยแท้ คำขวัญในขณะที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีคือ "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ" ซึ่งคนรุ่นๆ บวกลบก่อนหน้าหลัง 10 ปี กับผู้เขียนคงคุ้นๆ หู นำมาสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศอย่างทั่วถึง...
ไป 3 จังหวัดครั้งนี้ มีเป้าหมายคือ ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ 3 วัน 3 จังหวัด ได้รับการต้อนรับด้วยดีจาก นพ.คิมหันต์ ยงรัตนกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น นพ.สุริยา รัตนปริญญา นายแพย์สาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม และ นพ.พิสิทธิ์ เอื้อวงศ์กูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด กาฬสินธุ์ เป็นการติดตามเรื่องเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของท่าน นพ.ปรเมษฐ์ กิ่งโก้ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสกลนคร คุณดวงลภา กุดนอก รพ.สต.โนนหอม อ.เมือง จ.สกลนคร และคุณหมออัครพล คุรุศาสตรา แห่ง รพ.มุกดาหาร
เรื่องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้ ผู้เขียนประทับใจกับความตั้งใจของทั้งสามท่านในการดูแลสุขภาพของประชาชนเรื่องเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ทั้งในเรื่องของการป้องกันและการรักษา แต่ที่ประทับใจจนอยากจะบอกต่อคือ การรณรงค์ให้ชาวบ้านออกกำลังกาย ฝึกจิตใจด้วยการปฏิบัติธรรม และรณรงค์ให้คนในหมู่บ้านกิน "ผัก" เป็นหลัก ด้วยการใช้กระบวนการสื่อสารตามทฤษฎี "กระสุนปืน" คือยิงซ้ำๆ บ่อยๆ ใส่สมองคนให้เกิดความ "เชื่อ" ด้วยข้อมูลที่เราต้องการ‚ซึ่งคุณดวงลภา กุดนอก เธอใช้ทฤษฎีนี้จนประสบความสำเร็จ ด้วยการ "แจกผัก" ให้ชาวบ้านเป็นรางวัล แจกจริงให้จริง ทุกๆ ครั้งที่มีกิจกรรม ไม่ว่าจะประกวดแข่งขันอะไร รางวัลที่ให้สำหรับผู้ชนะเลิศและผู้เข้าร่วมกิจกรรมต้องเป็น "ผัก" เท่านั้น
ผู้เขียน "ทึ่ง" และ "ประทับใจ" ได้สอบถามแนวคิดและที่มา เธอบอกว่าการทำงานด้านสุขภาพ โดยเฉพาะการปลูกฝังแนวคิดชาวบ้านต้องไม่แยกส่วน ยิ่งเรื่อง 3อ. 2ส. ต้องให้เป็นเนื้อเดียวกัน เธอเริ่มต้นด้วย อ.ออกกำลังกาย คือการรณรงค์ให้ชาวบ้านออกมาวิ่ง ซึ่งในการวิ่งจะได้ทั้งเรื่องอารมณ์ และเมื่อวิ่งเสร็จรางวัลที่ให้ก็จะเป็นผักเท่านั้น ทั้งประเภทผักพร้อมกินและพันธุ์ผักที่สามารถนำไปปลูกกินเองได้ และคนออกกำลังกายก็จะไม่เสียเวลาไปกับการดื่มเหล้า สูบบุหรี่‚ สรุปแล้วครบถ้วนทุก อ.จริงๆ
เมื่อฟังแนวคิดแจกผักของคุณดวงลภา ผู้เขียนก็นึกถึงว่า สัตว์หลายประเภทที่กินผักล้วนมีอายุยืนยาว เลยลองตั้งคำถามกับผู้ร่วมประชุมซึ่งเป็นหมออนามัยกว่า 300 ชีวิตว่า...
เต่ากินอะไร?...ทุกคนตอบว่า "ผักบุ้ง" ถามว่า เต่าอายุยืนกี่ปี? ทุกคนตอบว่า 100 ปี หรือมากกว่าร้อยปี
ช้างกินอะไร?...คำตอบที่ได้คือ "กินอ้อย กินกล้วย" ถามต่อว่า "มันตัวใหญ่ แข็งแรงดีไหม แรงเยอะไหม?" ทุกคนตอบว่า...เยอะ
ม้ากินอะไร?...ทุกคนตอบว่า "กินหญ้า"...แข็งแรงวิ่งเร็วดีไหม ทุกคนตอบว่า วิ่งแข่งเร็ว แข็งแรงมากๆ ใช่ไหม? ทุกคนตอบว่า...ใช่
ยีราฟกินอะไร?...สูงไหม?...สูงค่ะ
มาถึงคำถามสำคัญ "คน"...กินอะไร? ทุกคนตอบพร้อมเพรียงว่า "ทุกอย่าง" ถามต่อว่า อายุยืนไหม? แข็งแรงไหม? ตัวใหญ่ไหม?...คำตอบคือเสียงหัวเราะครืนลั่นห้อง
ผักเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะในแง่ของวิตามินและเกลือแร่ ที่จำเป็นต่อโภชนาการ (Nutrition) ของมนุษย์ การเลือกบริโภคผัก ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเป็นประจำ ร่างกายจะได้รับวิตามิน และเกลือแร่พอเพียง

"ผัก"
 นอกจากจะให้อาหารประเภทโปรตีนที่ให้ความเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้พลังงาน และความอบอุ่นต่อร่างกาย ให้วิตามินและเกลือแร่ที่เสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ผักยังมีปริมาณน้ำสูงมีเซลลูโลส (Cellulose) หรือกากอาหาร (fiber) ซึ่งสารนี้ช่วยเสริมกิจกรรมการย่อยอาหารและขับถ่ายของร่างกายให้เป็นปกติ ยิ่งไปกว่านั้นผักบางชนิด เช่น พริก ความเผ็ดของพริกยังใช้เป็นเครื่องชูรส และเครื่องกระตุ้นให้เรารับประทานอาหารได้เอร็ดอร่อยขึ้น ผักหลายชนิดใช้สกัดทำสีย้อมอาหารให้น่ารับประทานขึ้น และไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกาย เช่น ดอกอัญชันใช้สกัดสีม่วง ใบเตย ใช้สกัดสีเขียวใบไม้ เป็นต้น
"ผักครึ่ง...อย่างอื่นครึ่ง...คืออะไร?" "ผัก" ในที่นี้หมายถึง พืชชนิดต่างๆ ที่ไว้ทำเป็นอาหาร ซึ่งอาจจะเป็นใบ ลำต้น ดอก ผล หรือราก นอกจากนี้ยังหมายถึง เห็ด สาหร่าย และผลไม้ชนิดต่างๆ "อย่างอื่น" ในที่นี้หมายถึง ส่วนที่เป็นอาหารพวกแป้งเป็นหลัก ได้แก่ ข้าว ถั่ว งา เผือก มัน และรวมถึงเนื้อสัตว์ และไขมันเพียงเล็กน้อย
หลักการ...กินผักและผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ หรือประมาณกิโลกรัม/วัน เป็นประจำจะช่วยลดความดัน เบาหวาน...ที่สำคัญคือ... "มะเร็ง" ได้ด้วย
สงสัยว่า ทำไมต้องกินผักครึ่ง...อย่างอื่นครึ่ง..?? ที่กิน
กินเพราะ...มะเร็งเป็นสาเหตุการตายเป็นอันดับหนึ่ง
กินเพราะ...หนึ่งในสามของคนเป็นมะเร็ง มีสาเหตุมาจากอาหาร
กินเพราะ...ในผัก ผลไม้ มีวิตามิน เกลือแร่ กากใย หน้าที่ของวิตามินเกลือแร่ คือทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายเกิด "สมดุล" ทำให้การควบคุมการทำงานของอวัยวะเป็นไปอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง วิตามินบีช่วยบำรุงระบบประสาทรับรู้ ทำให้ความจำดีขึ้น วิตามินซี อี เบต้าแคโรทีน มี "สารต้านมะเร็ง" ที่สำคัญช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค และป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่เซลล์ เกลือแร่ที่สำคัญ ได้แก่ สังกะสี และซิลิเนียม ช่วยต้าน "อนุมูลอิสระ" ป้องกันมะเร็งได้
กินเพราะ...ผัก ผลไม้ มีกากใย ซึ่งจะดูดซึมสารพิษ หรือสารอาหารที่เป็นส่วนเกิน ได้แก่ ไขมัน น้ำตาล ทำให้ลำไส้ไม่มีสิ่งหมักหมม ช่วยลดมะเร็งลำไส้ โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคเบาหวาน ความดันด้วย
กินเพราะ...ผัก ผลไม้ มีน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญ ประมาณ 70-80% และเป็นน้ำที่ไม่มีสารพิษ หรือมีแต่น้อยมาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
กินเพราะ...ถ้าไม่เน้นผักครึ่งหนึ่งของปริมาณอาหารในแต่ละวัน คุณก็จะหลงไปทานแต่แป้ง น้ำตาล ไขมัน และเนื้อสัตว์ แล้วทานผัก "นิดเดียว" หรือ "ไม่ทาน" เลย
กินเพราะ...วันนี้ คุณควรจะรู้ว่า "ผักต้านมะเร็ง" คือ ใบเขียว ผักที่มีสีเข้ม ส้ม แดง ผักตระกูลกะหล่ำ ส้ม มะนาว หอม กระเทียม และผลไม้หลากชนิด เพราะ...ผลงานวิจัยทั่วโลกมีมากและน่าเชื่อถือ พอที่จะบอกคนว่า "อภินิหารต้านมะเร็ง" จากพืชผักผลไม้ นอกจากมีเส้นใยอาหารแล้ว ยังประกอบไปด้วย "สารต้านมะเร็งอีกมากมาย" หลายชนิดที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย เส้นใยอาหาร โดยทั่วไปหมายถึงสารจากพืชที่ไม่ย่อยสลายด้วยเอนไซม์ในทางเดินอาหารของ "คน"
"อาหารดี" ประกอบไปด้วย พืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช เครื่องเทศ เห็ด และใบชา เป็นแหล่งให้สารอาหารต้านมะเร็งที่สำคัญเพราะมีใยอาหาร มีสารเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ ซี อี และสารพวก Phytochemical/phytonutrient มากมาย ออกฤทธิ์เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ และออกฤทธิ์ผ่านขบวนการต่างๆ ทำให้สามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งและเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง จัดแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้
สารคลอโรฟิลล์พบในพืชใบเขียว เช่น คะน้า กะหล่ำ ผักใบเขียว บร็อกโคลี ผักกาดขาว และสาหร่าย
สารแคโรทีนอยด์ พบในพืชที่มีสีส้ม-เหลือง แดง-ส้ม เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ มะนาว และผักใบเขียว
สารแอนโทไซยานิติน พบในพืชสีน้ำเงิน ม่วงแดง เช่น หัวบีท เชอรี่ องุ่น และกะหล่ำม่วง
สารเหล่านี้มีคุณสมบัติป้องกันมะเร็งได้คือ ต้านอนุมูลอิสระ ดูดซับสารพิษ ต้านการอักเสบและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันเซลล์จากรังสียูวี ช่วยการไหลเวียนโลหิต และลดคอเลสเตอรอลได้อย่างดี
ที่ลืมไม่ได้ต้องบอกสู่กันฉันมิตรในฐานะ "คนบ้านนอก" รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ท่านมีอายุยืนก็เพราะกินอยู่แบบบ้านๆ ทั้ง ผักพื้นบ้าน อาหารริมรั้ว เช่น ตำลึง กระถิน มะระ กระเพรา ตะไคร้ มะละกอ กล้วย ฟักทอง ขี้เหล็ก มะขาม เป็นทั้ง "อาหารและยา" เรียกว่า "ทูอินวัน" เลยทีเดียว นอกจากต้านมะเร็งให้ภูมิคุ้มกันโรคแล้ว ยังลดเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ สมอง และไขมันในเลือดสูง หลักการสำคัญในการรับประทาน ควรมี "ความหลากหลาย" ช่วยสร้าง "สมดุล" สารอาหาร และแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ ปริมาณอาหารพอดีๆ เน้นความสะอาดเป็นหลัก มีคุณภาพและปลอดสารพิษ
ผู้เขียนอยากบอกว่า จงดู "เต่า ช้าง ม้า ยีราฟ" เป็นต้น และ "สุนัข แมว" ยามป่วยแกกิน "หญ้า" รักษาโรคนะ และจงช่วยกันจำนะว่า "You are what you eat" ‚คุณเป็นอย่างไรก็อยู่ที่คุณกิน
แฮ่ม! แต่ห้ามลืมนะครับว่า กินผักผลไม้ต้องเลือกกินที่สะอาดจะได้ครบสูตรทั้งสุขภาพดี และมีความปลอดภัยจากสารเคมี‚นะครับ
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.photos.com/
และเครดิต www.sanook.com

6 วิธีดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์

โดย...ศ.พญ.นันทิกา ทวิชาชาติ
       ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       กรรมการเลขานุการ มูลนิธิโรคอัลไซเมอร์แห่งประเทศไทย
      
       ปัญหาหนึ่งของผู้สูงอายุที่สังคมไทยต้องช่วยกันดูแลอย่างจริงจัง คือ โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นภาวะที่พบมากขึ้นทุกวัน เนื่องจากโครงสร้างประชากรของไทยในปัจจุบัน มีสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
      
       ปัญหาโรคอัลไซเมอร์ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะสำหรับตัวผู้ป่วยเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว คนรอบข้าง และสังคมอย่างที่เรานึกไม่ถึงกันเลยทีเดียว ซึ่งเราอาจจะเคยเห็นข่าวกันอยู่บ่อยๆ ที่ผู้สูงอายุออกไปนอกบ้านลำพังหรือพลัดหลงกับบุตรหลานแล้วไม่สามารถตามตัวกลับบ้านได้ บางคนก็ถูกบุตรหลานทอดทิ้ง บางคนอาจประสบอุบัติเหตุหรือต้องกลายเป็นบุคคลคนเร่ร่อนไป ในปัจจุบันผู้สูงอายุที่เป็นโรคอัลไซเมอร์จำนวนมากถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร ทั้งๆที่คนเหล่านี้ในอดีตเคยเป็นกำลังสำคัญในการเลี้ยงดูครอบครัว และทำงานสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติของเรา
       โรคอัลไซเมอร์นั้น เป็นกลุ่มอาการซึ่งเกิดจากความผิดปกติในด้านการทำงานของสมอง จะมีการสูญเสียหน้าที่ของสมองหลายด้านพร้อมๆ กัน แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เกิดขึ้นอย่างถาวร ส่งผลให้มีการเสื่อมของระบบความจำและการใช้ความคิดด้านต่างๆ ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการแก้ไขปัญหาหรือการควบคุมตนเอง มีการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกภาพ พฤติกรรม และส่งผลกระทบต่อการทำงาน รวมถึงการดำรงชีวิตประจำวัน ในระยะสุดท้ายของโรคจะสูญเสียความจำทั้งหมด และจะค่อยๆ แย่ลงจนถึงอาการสุดท้าย คือ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และเสียชีวิตเพราะอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น
      
       ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งอาจเกิดจากปัจจัยด้านพันธุกรรม รวมถึงปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย เช่น อาหาร สิ่งแวดล้อม สารพิษ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และการติดเชื้อบางชนิด เป็นต้น
      
       จากการศึกษาในประชากรผู้สูงอายุไทย พบความชุกของโรคอัลไซเมอร์ ร้อยละ 1-2 ในกลุ่มประชากรอายุ 60-69 ปี และพบความชุกเพิ่มขึ้น 2 เท่า ในทุกๆช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น 5 ปี สำหรับผู้ที่อายุเกิน 65 ปีขึ้นไป โดยพบความชุกของโรคอัลไซเมอร์สูงที่สุดในกลุ่มประชากรที่มีอายุระหว่าง 70-80 ปี ประมาณร้อยละ12 ทั้งนี้มีการประมาณการว่าน่าจะมีจำนวนผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ในประเทศไทยประมาณ 665,287 คน
      
       สำหรับการรักษาโรคอัลไซเมอร์ในขณะนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยยาต่างๆ ที่ใช้รักษาโรคนี้ ช่วยเพียงแค่ควบคุมอาการของโรคเท่านั้น ดังนั้น ผู้ป่วยโรคนี้จึงต้องมีผู้ดูแล ซึ่งถือได้ว่าผู้ดูแลมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ทั้งนี้ผู้ดูแลจึงมีส่วนสำคัญในการดูแลผู้ป่วยให้ได้รับยารักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ โดยการพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ตามที่แพทย์นัดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอาการของผู้ป่วยแก่แพทย์ผู้รักษาอย่างดีที่สุด
      
       แนวทางการดูแลผู้ป่วยสำหรับผู้ดูแล มีดังนี้
       1.ผู้ดูแลต้องทำความเข้าใจและยอมรับกับภาวะสมองเสื่อมของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากผู้ป่วยจะมีปัญหาเรื่องความจำ และการใช้ความคิดด้านต่างๆ ตลอดจนการสูญเสียความสามารถในการแก้ไขปัญหาหรือการควบคุมตนเองของผู้ป่วย จนทำให้มีการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกภาพ พฤติกรรม ไปจนถึงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองในการดำเนินชีวิตประจำวันได้
      
       2.ผู้ดูแลมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจวัตรประจำวัน เนื่องจากผู้ป่วยอาจสูญเสียความสามารถในการจำ เช่น การรับประทานอาหาร บางครั้งผู้ป่วยอาจจะจำไม่ได้ว่าตนเองรับประทานอาหารหรือยัง ดังนั้นผู้ดูแลจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลเรื่องกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การขับถ่ายอย่างถูกสุขอนามัย การอาบน้ำ สวมใส่เสื้อผ้า รวมไปถึงการดูแลผู้ป่วยเมื่อจำเป็นต้องออกนอกบ้านเพื่อไม่ให้เกิดการพลัดหลงกัน
      
       3.การใช้ยาและพาไปพบแพทย์ ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์บางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิต-ประสาท เช่น ยาที่ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล ซึมเศร้า ก้าวร้าว ฯลฯ โดยผู้ดูแลควรช่วยในเรื่องการรับประทานยาให้สม่ำเสมอ และพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ตามที่แพทย์นัด ตลอดจนสังเกตการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยเพื่อแจ้งแก่แพทย์ผู้รักษาทราบได้อย่างถูกต้อง
      
       4.สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยสำหรับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ คือ อุบัติเหตุ ดังนั้น ผู้ดูแลควรระมัดระวังและดูแลสถานที่ บ้านพักอาศัยให้มีความปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย
      
       5. การดูแลด้านจิตใจและอื่นๆ ผู้ดูแลสามารถช่วยเหลือด้านจิตใจของผู้ป่วยได้ โดยการให้กำลังใจ การให้รับประทานอาหารให้พอเพียงและถูกหลักโภชนาการ ดูแลเรื่องการออกกำลังกายตามความเหมาะสม รวมถึงการมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น การพาออกนอกบ้านเพื่อทำกิจกรรมหรือการเข้ากลุ่มกับผู้สูงอายุด้วยกัน หากผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์อยู่ในช่วงระยะเริ่มต้นซึ่งความจำยังไม่บกพร่องมาก ควรหากิจกรรมฝึกความจำให้กับผู้ป่วยเพื่อช่วยชะลออาการของภาวะสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์ได้
      
       6. นอกจากการดูแลผู้ป่วยแล้ว ตัวผู้ดูแลเองก็ควรจะดูแลร่างกายและจิตใจของตนเองด้วย เนื่องจากการดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ตลอดเวลาอาจก่อให้เกิดความเครียดหรือปัญหาด้านอารมณ์ บางครั้งผู้ดูแลอาจรู้สึกผิด ไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองทำถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นนอกจากผู้ดูแลจะมีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์แล้ว ต้องดูแลสุขภาพจิตของตนเองด้วย
      
       เนื่องจากผู้ดูแลมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ดังนั้น มูลนิธิโรคอัลไซเมอร์แห่งประเทศไทย จึงได้จัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้ในการดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ให้แก่ญาติผู้ป่วยหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์เป็นประจำทุกปี ในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน โดยเชิญทีมวิทยากรที่หลากหลายจากหลายหน่วยงานมาให้ความรู้ พร้อมกิจกรรมต่างๆ มากมาย หากผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารการรับสมัครได้ที่ www.alz.or.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร.02 644-5499 ต่อ 138

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพในข่าวจาก www.manager.co.th
 Credit : www.manager.co.th

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

“นวัตกรรมเซลล์บำบัด-สเต็มเซลล์” ธุรกิจหลอกคนรวย!? มาเฟียธุรกิจ “เจ๊ ด.” เอี่ยวหนุน “Stem cell” (ตอนจบ)

     
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก www.manager.co.th
      เปิด 5 กลุ่มมาเฟียธุรกิจหมื่นล้านสเต็มเซลล์ในประเทศไทย พบเครือข่ายใหญ่ที่สุดเป็นอดีตข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขจับมือนักการเมือง แถมมีแพทย์มาเฟียใกล้โรงพยาบาลตำรวจคนดังเกี่ยวข้อง วันนี้ แพทยสภาโอดกลุ่มนี้เอาผิดยากสุด เพราะข้าราชการไม่กล้าตรวจสอบ ขณะที่นักการเมืองรายใหญ่หนุนจนเครือข่ายแข็งแรง จับตา “เจ๊ ด.” เอี่ยว? ดัน กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงวิทยาศาสตร์รับรองนวัตกรรมสเต็มเซลล์ สร้างรายได้มหาศาลให้ธุรกิจเครือข่าย 
       
       เปิด 5 กลุ่มมาเฟียธุรกิจสเต็มเซลล์
        
       
       จากข้อมูลในการสนทนาทั้งกับแพทยสภา แพทย์ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย และแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนรวมทั้งแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุข ทำให้ ทีม Special Scoop นำข้อมูลดังกล่าวมาสังเคราะห์เพื่อหาคำตอบที่ว่าธุรกิจสเต็มเซลล์รายใหญ่ในไทยตอนนี้มีใครบ้าง จนได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า กลุ่มธุรกิจทางการแพทย์ที่ทำการรักษาแบบสเต็มเซลล์ขณะนี้มี 5 กลุ่มรายใหญ่ ได้แก่
       
       1. แพทย์ผู้ใหญ่บางคนในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวโรงพยาบาลตำรวจ ที่ได้ทำธุรกิจบริษัทรับเก็บสเต็มเซลล์ของบุคคลเป็นเวลา 20 ปี โดยแพทย์กลุ่มนี้จะมีการไปดิวกับโรงพยาบาลเอกชนใหญ่ๆ เพื่อหาลูกค้า ซึ่งธุรกิจเก็บสเต็มเซลล์นั้นเป็นธุรกิจที่มีผลประโยชน์หลายพันล้านบาท
       
       2. แพทย์บางคนในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวโรงพยาบาลตำรวจ ได้ทำโครงการวิจัยเรื่องสเต็มเซลล์ และมีการไปสร้างความร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ นำการวิจัยนั้นไปโปรโมตการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนนั้นๆ โดยในการโปรโมตนั้น จะมีวิธีใช้ภาษาที่ไม่ได้บอกว่าเป็นสเต็มเซลล์โดยตรงก็มี
       
       3. กลุ่มแพทย์อดีตผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับนักการเมืองและเครือข่ายหมอในการเปิดแล็บตรวจดีเอ็นเอ และทำสถานบริการสุขภาพเซลล์บำบัดชะลอความแก่ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ผลประโยชน์มากที่สุด
       
       4. หมอในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทย์แห่งหนึ่งแถวสามย่าน ที่ทำธุรกิจขายเซลล์เกี่ยวกับข้อต่างๆ ในร่างกาย
       
       5. กลุ่มแพทย์ทางเลือกที่โฆษณาให้คนมีอายุยืนถึง 100-120 ปี ซึ่งก็เป็นกลุ่มใหญ่ ที่มีการแตกกลุ่มย่อยๆ ไปมากมาย
       
       “แพทย์เหล่านี้จะหลอกคนรวยเป็นหลัก เพราะธุรกิจนี้มีราคาแพงมาก ทั้งคนที่อยากชะลอความแก่ และคนที่สิ้นหวังจากโรคร้ายที่เป็นอยู่ แพทย์บางคนที่ไม่มีจริยธรรมจะมีวิธีการพูดต่างๆ นานา เพื่อให้ตัวเองดูไม่ผิด เช่นโรคคุณรักษาไม่หายแน่นอน มีวิธีการอยู่นะ แต่มันยังไม่ได้รับการรับรองผล ถ้าอยากหายก็ต้องลองดู เป็นต้น ซึ่งจริงๆ ก็ทำได้ ถ้าตกลงกับคนไข้แล้วว่าเป็นการทดลอง และจะมีวิธีการทดลองอย่างไร มีผลที่อาจเกิดขึ้นอย่างไร แต่ปัญหาคือวิธีการพูดของแพทย์บางคนทำให้คนไข้ที่ทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายมีความหวังขึ้นมา แล้วทุ่มเงินได้ไม่อั้นเพื่อรักษาแม้จะมีความหวังเพียงน้อยนิด” แหล่งข่าวแพทย์รายหนึ่งกล่าว
       นอกจากนี้ยังมีธุรกิจเครื่องสำอางที่มีการโฆษณาว่าเป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสเต็มเซลล์ ซึ่งขณะนี้ อย.ก็สั่งห้ามแล้วเรียบร้อย เนื่องจากไม่มีประโยชน์ เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค
       
       “สเต็มเซลล์วันหนึ่งก็ตาย ใครเอามาทำเครื่องสำอางก็ไม่เกิดประโยชน์เพราะมันอยู่ได้แค่วันเดียว บางทีมันตายแล้วค่อยเอามาทำเครื่องสำอางด้วยซ้ำ ทำอย่างนี้ไม่อันตราย เพราะไม่ได้ใช้รักษาคนไข้ แต่ก็เข้าข่ายหลอกลวงอยู่ดี”
       
       นักการเมืองหนุนอดีตผู้ใหญ่สธ.ทำธุรกิจสเต็มเซลล์
       
       สำหรับมาเฟียทั้ง 5 กลุ่มนี้ กลุ่มใหญ่ที่สุด มีเครือข่ายแน่นหนาที่สุดจะมีอยู่ 2 กลุ่มด้วยกัน
       กลุ่มแรกคือกลุ่มแพทย์ที่อยู่แถวโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นแพทย์ระดับผู้ใหญ่ นอกจากมีการร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนแล้ว ยังตั้งธุรกิจของตัวเองเป็นบริษัทรับเก็บสเต็มเซลล์ ทำการให้บริการเก็บรักษาและเพิ่มสเต็มเซลล์ โดยส่วนมากจะเน้นเก็บจากทารกแรกเกิด และยังมีการโฆษณาว่าสามารถเก็บจากเนื้อเยื่อสายสะดือ และเนื้อเยื่อไขมันได้ด้วย ธุรกิจนี้มีหลายคนนำไปใช้ประโยชน์ โดยมีการเลี่ยงไม่ใช้ชื่อสเต็มเซลล์โดยตรง แต่ใช้ชื่อธนาคารเซลล์ต้นกำเนิดแทน
       
       “เขาจะไปติดต่อทุกโรงพยาบาล เพื่อชวนให้คนที่คลอดลูกใหม่ๆ เก็บรก หรือสายสะดือเด็กไว้ในธนาคารเซลล์ต้นกำเนิด จะบอกว่าเก็บไว้ใช้รักษาโรคในอนาคตได้ถึง 30 ปี ซึ่งไม่จริง”
       
       ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ไอร์วิง ไวส์สแมน (Irving Weissman) ผู้อำนวยการสถาบันชีววิทยาเซลล์ต้นกำเนิดและเวชศาสตร์การฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Institute of Stem Cell Biology and Regenerative Medicine) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ กล่าวในงานประชุมวิชาการประจำปีของสมาคมเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (American Association for the Advancement of Science: AAAS)
       
       โดยกล่าวถึงธุรกิจการเก็บสเต็มเซลล์ และระบุถึงประเทศไทยด้วยว่าเป็นผู้ที่มีการทำธุรกิจนี้อย่างแพร่หลาย โดยกล่าวว่า ความหวังดีของพ่อแม่ที่มีต่อลูก อาจทำให้ต้องถูกหลอกจากผู้ดำเนินธุรกิจธนาคารสเต็มเซลล์ได้โดยง่าย โดยสายสะดือของทารกแรกเกิดมีเซนไคมอลเซลล์ (Mesenchymal Cells) ด้วย ซึ่งเซลล์ดังกล่าวมีความสามารถที่จำกัดมาก ในการทำให้เกิดแผลเป็น กระดูก และไขมัน แต่มันจะไม่สร้างสมอง ไม่ผลิตเม็ดเลือด ไม่ก่อให้เกิดเนื้อเยื่อหัวใจ ไม่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อโครงร่าง หรือแม้อะไรก็ตามที่มีการกล่าวอ้าง ที่สำคัญยังไม่มีข้อมูลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุแน่ชัดว่าสเต็มเซลล์สามารถรักษาโรคเหล่านั้นได้ดีจริงโดยไม่มีผลข้างเคียง
       
       “พวกเขาทำการรักษาคนไข้ ต่อจากนั้นก็เปิดโอกาสให้คนไข้ได้ดำเนินการรักษาต่อไปโดยที่พวกเขาเป็นเจ้าของไข้ เว้นแต่ว่าทางครอบครัวผู้ป่วยที่เป็นโรคไม่สามารถรักษาให้หายได้อาจต้องเสียค่าใช้จ่าย 50-150,000 เหรียญสหรัฐ(ประมาณ 1,650-5,000,000 บาท) สำหรับการรักษาที่ไม่มีโอกาสเป็นไปได้ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าผิด” ไวส์สแมนกล่าว (เตือนพ่อแม่ระวังถูกหลอก เพราะหลงเชื่อฝากสายสะดือ “ธนาคารสเต็มเซลล์” หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ 24 ก.พ. 53)
       
       ดังนั้น การโฆษณาว่าสามารถรักษาด้วยสเต็มเซลล์ในทุกโรค รวมถึงการรักษาผิวหนังเพื่อความอ่อนวัย ถือว่ามีความผิดทั้งจริยธรรมแพทย์ และผิดกฎระเบียบของแพทยสภา เพราะแพทยสภาได้ออกกฎควบคุม ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เรื่องการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษา พ.ศ. 2552 ไว้แล้ว
       
       นอกจากนี้ในกระบวนการเก็บสเต็มเซลล์จากสายสะดือทารก ที่จะต้องมีการดูดเอาเซลล์ของตัวอ่อน(Embryonic Stem Cell) มาเก็บ เท่ากับเป็นการทำลายตัวอ่อนโดยตรง เพราะตัวอ่อนที่ถูกดูดเอาสเต็มเซลล์บางส่วนออกไปมักจะตายหรือต้องถูกทำลายทิ้ง ซึ่งเป็นปัญหาทางศีลธรรม และกฎหมาย ที่ยังไม่ได้รับการยอมรับในสากล
       
       แต่ข้อบังคับที่หละหลวม ก็ยังทำให้คนกลุ่มนี้สามารถทำธุรกิจนี้จนเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ได้
       
       คนกลุ่มนี้มีการให้บริการโดยเก็บค่าบริการเก็บสายสะดือทารกแรกเกิดประมาณรายละ 120,000-200,000 บาท รวมแล้วบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้จะมีมูลค่าธุรกิจระดับพันล้าน
       
       นี่แค่บริษัทเดียว!
       อีกกลุ่มคือ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแพทย์ที่เคยเป็นผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุขเองมีการจับมือกับนักการเมืองทำธุรกิจสเต็มเซลล์ขนาดใหญ่
      
       คนกลุ่มนี้คือกลุ่มผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด และเข้าไปตรวจสอบได้ยากที่สุด!
      
       “หมอพูดอะไรไม่ผิด ยิ่งเป็นหมอที่เป็นระดับผู้ใหญ่ พูดอะไรไปคนก็เชื่อโดยง่าย แถมแพทยสภาจะมาเอาผิดก็ยาก เพราะว่าเจ้าหน้าที่ในแพทยสภาก็เป็นหมอ เป็นลูกน้องเก่า หรือไม่ก็เป็นเพื่อนในวงการเดียวกัน ไม่มีใครอยากยุ่ง”
      
       คนกลุ่มนี้มีการทำธุรกิจโดยเปิดเป็นบริษัท และเปิดเป็นคลินิกทำการใช้สเต็มเซลล์ในการชะลอความแก่ หรือความสวยความงามเป็นหลัก ซึ่งก็จะมีวิธีการหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าสเต็มเซลล์ไปใช้คำอื่นแทน เช่น การรักษาแบบองค์รวมด้วยวิธีเซลล์บำบัด เป็นต้น
      
       “คนในวงการแพทย์รู้ดี ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไปเอาผิดไม่ได้”
      
       ใช้งานวิจัย-นวัตกรรมใหม่หนุนความเชื่อถือ
      
       อย่างไรก็ดี เมื่อมีความร่วมมือกับนักการเมืองยิ่งทำให้ขบวนการนี้มีเครือข่ายที่ใหญ่มาก และมีนักการเมืองบางคนกำลังพยายามให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานนวัตกรรมในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ผลิตงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์มารองรับธุรกิจสเต็มเซลล์อีก เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
      
       “อะไรที่เกี่ยวกับการแพทย์ แล้วมีงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์มาหนุนด้วย ยิ่งมีความน่าเชื่อถือ ขบวนการนี้กำลังดำเนินการบางอย่าง ซึ่งใช้งบราชการเป็นพันล้านบาทที่ต้องจับตา แล้วรู้เท่าทันคนกลุ่มนี้ให้ได้ อย่าไปหลงเชื่อ”
      
       แหล่งข่าวแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า สถาบันประเภทนวัตกรรมแห่งหนึ่งของกระทรวงวิทยาศาสตร์ ซึ่งขณะนี้อยู่ภายใต้การบงการของนักการเมืองหญิงที่ชื่อ “เจ๊ ด.” กำลังใช้คนของตัวเองในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันให้เกิดนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับสเต็มเซลล์ และหุ่นยนต์ ซึ่งมองแล้วมีแนวโน้มความไม่โปร่งใสสูงมาก
      
       เมื่อ 2 กระทรวงใหญ่ทั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และกระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกันผลักดันจะยิ่งทำให้คนไทยและคนต่างชาติหลงเชื่อว่าสเต็มเซลล์มีการรับรองแล้ว ขณะเดียวกันมีอดีตแพทย์ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุขมานั่งบริหารสถานพยาบาลแห่งนี้เอง
      
       “คนกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับสถานบริการสุขภาพเซลล์บำบัด ซึ่งต่อไปจะยิ่งทำให้คนหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการทันทีที่โครงการสเต็มเซลล์รับรองโดย 2 หน่วยงานรัฐ ไม่ใช่แค่ระดับพันล้าน แต่จะเป็นระดับหมื่นล้าน ที่นี่จะถูกยกระดับผลประโยชน์จากการให้บริการรักษาด้วยสเต็มเซลล์เป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย!
      
       นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า แพทยสภามีความเป็นห่วงและกังวลที่อยากจะเอาผิดกับคนกลุ่มนี้เพราะทำธุรกิจหลอกลวงชัดเจน แต่ที่ผ่านมายอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะในแพทยสภาเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ถือว่าเป็นลูกน้องเก่า ยังมีความเกรงใจสูง ขณะที่ธุรกิจอะไรก็ตามที่มีเบื้องหลังเป็นนักการเมืองด้วยแล้ว ก็จะยิ่งจัดการตรวจสอบได้ยากมากขึ้นไปอีก
      
       ขณะเดียวกันธุรกิจนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มที่เป็นแพทย์ทางเลือก ซึ่งไม่เกี่ยวข้องและแพทยสภาเข้าไปควบคุมจรรยาบรรณไม่ได้ ฤาธุรกิจสเต็มเซลล์เป็นหมื่นๆ ล้านบาทจึงเป็นธุรกิจที่เข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครฉุดรั้งได้
      
       ประชาชนจึงถูกหลอกขายความหวังไม่รู้จบ!
      
       ที่สำคัญวารสารทางวิชาการทางการแพทย์ของต่างประเทศก็ตีพิมพ์ตลอดว่าประเทศไทยมีการรักษาสเต็มเซลล์ทั้งที่ยังไม่มีการรับรองความปลอดภัย
      
       ไม่ใช่แค่ชีวิตคนไข้จะมีปัจจัยเสี่ยงจากโรคแทรกซ้อนต่างๆ เท่านั้น เพราะการที่ไทยยังทำการรักษาและดึงคนไข้ต่างชาติเข้ามารักษาโดยไม่บอกความจริงทั้งหมดนี้
      
       เรื่องเสียหายจึงเกิดกับประเทศไทยโดยรวม ความเป็น Medical Hub ของไทยถือว่าเป็นความหวังริบหรี่จากคนเพียงไม่กี่คนที่ทำลายชื่อเสียงของมาตรฐานทางการแพทย์สากลของไทยที่อยู่ในระดับแนวหน้ามาตลอด
      
       Medical Hub ในวันนี้ก็อาจกลายพันธุ์เป็น Dangerous Hub ในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้!
      
       เช่นเดียวกับที่ รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร เจ้าของ “ฮาร์ท เจเนติกส์” ตรวจพบคนไข้ที่ฉีดสารบางอย่างเข้าไป และพบว่าคนไข้กำลังมียีนกลายพันธุ์นำไปสู่โรคมะเร็งได้!!!

ที่มา :  www.manager.co.th

“นวัตกรรมเซลล์บำบัด-สเต็มเซลล์” ธุรกิจหลอกคนรวย!? แพทยสภา!ปลุกคนไทยอย่าตกเป็นเหยื่อ (ตอนที่ 4)

   
ขอขอบคุณ ภาพจาก www.manager.co.th

      ธุรกิจสเต็มเซลล์กลายเป็นธุรกิจขายความหวัง-หลอกคนรวย รายหนึ่งเสียเงินไม่ต่ำกว่าล้านบาท แพทยสภายืนยันชัดในประเทศไทยและทั่วโลกรับรองการรักษาได้แค่สเต็มเซลล์จากเลือด โรคอื่นทั้งกล้ามเนื้อหัวใจ ข้อเข่าเสื่อม กล้ามเนื้อตา เสริมทรวงอก ชะลอความแก่ ฯลฯ ล้วนอยู่ในขั้นทดลอง หมอต้องแจ้งความเสี่ยงทั้งหมดให้ผู้ป่วยรู้ พร้อมทั้งห้ามเก็บเงินค่ารักษาเด็ดขาด วอนประชาชนรู้เท่าทัน ระวัง!ถูกหลอก แจงผู้เดือดร้อนจากการรักษาร้องเรียนแพทยสภาได้แม้เซ็นชื่ออนุญาต เพราะเอกสารสัญญานั้นอาจผิดกฎแพทยสภาอยู่แล้ว 
       
       เวลานี้ชัดยิ่งกว่าชัดแล้วว่า ธุรกิจสเต็มเซลล์ในประเทศไทย หรือแม้กระทั่งทั่วโลกเองตอนนี้มีการรับรองการรักษาแค่สเต็มเซลล์เลือด รักษาเฉพาะโรคเลือดต่างๆ ซึ่งโรคเลือดบางโรคเองก็ยังมีผลการรักษาไม่ 100% ขณะที่สเต็มเซลล์รักษาโรคกระดูกต่างๆ ต้องบอกว่าวงการแพทย์ รวมทั้งผู้ควบคุมกฎดูแลแพทย์อย่างแพทยสภานั้นไม่ได้ให้การยอมรับให้มีการรักษาอย่างถูกกฎหมาย
       
       ยอมให้แค่แพทย์สามารถทำการทดลองวิจัยในผู้ป่วยโรคต่างๆ ได้ แต่ต้องบอกกับคนไข้ตามความเป็นจริงว่าเป็นแค่การทดลอง ซึ่งมีสิทธิที่คนไข้จะเกิดอาการแทรกซ้อนไม่พึงประสงค์ต่างๆ และต้อง “ไม่มีการเก็บเงิน”!
       
       แต่ปัญหาคือความจริงกลับพบว่า หลายๆ โรงพยาบาล รวมทั้งคลินิกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐบางแห่ง โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งที่มีการโฆษณาว่ามีการเอาสเต็มเซลล์มารักษาโรคต่างๆ (นอกเหนือจากโรคเลือด) และคลินิกต่างๆ ที่เอาเทคโนโลยีสเต็มเซลล์มาใช้ในการรักษาความงาม “ชะลอความแก่” กันทั่วประเทศในขณะนี้ ซึ่งนับๆ แล้วมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำสเต็มเซลล์มาใช้ในการแพทย์นี้มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท
       
       ธุรกิจขนาดใหญ่ ผลประโยชน์มหาศาล!
       
       เขาทำอะไรกันบ้าง?
       
       วงการแพทย์ต่างปท.กดดันไทย-สเต็มเซลล์ผิดกม.
       
       นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เปิดเผยว่า การรักษาแบบสเต็มเซลล์ในประเทศไทยมีการรักษากันมาหลายปีแล้ว โดยแนวคิดที่ว่าอวัยวะไหนที่เสียไป สามารถใช้สเต็มเซลล์มาปลูกถ่ายขึ้นใหม่เพื่อซ่อมแซมได้ ซึ่งก็มีทั้งโรคที่ทำได้จริงคือโรคเลือดที่ใช้ไขกระดูกต่างๆ แต่อีกส่วนหนึ่งก็มีการรักษาอย่างที่ยังไม่ได้รับการยอมรับ ได้แก่การใช้สเต็มเซลล์เข้าไปรักษาโรคกระดูก และกล้ามเนื้อต่างๆ ซึ่งแต่เดิมแพทยสภายังไม่ได้เข้ามาควบคุม ทำให้หลายโรงพยาบาลมีการรับรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจ, โรคกระดูกข้อเข่าเสื่อม, ชะลอความแก่, เสริมเต้านม ฯลฯ ซึ่งภายหลังพบว่าเกิดเคสที่มีอันตรายต่อชีวิตขึ้นมา รวมกับธุรกิจสเต็มเซลล์ได้ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ยากที่จะพิสูจน์ได้ว่าอันไหนรักษาได้จริง อันไหนไม่มีประโยชน์
       
       จนวงการแพทย์ในประเทศไทยก็เป็นที่รู้กันว่าใครคือคนที่กุมชะตาธุรกิจนี้ ขณะที่วงการแพทย์จากต่างประเทศก็ทำการกดดันไทยในเรื่องนี้มาโดยตลอด
       
       “ไทยถูกโจมตีหนักเลย เพราะก่อนหน้านี้ที่จะมีการควบคุมได้มีโรงพยาบาลนำเรื่องสเต็มเซลล์ไปทำการรักษาให้คนไข้ ทั้งๆ ที่ยังไม่รับรองความปลอดภัยครบ 100% และมีความเสี่ยงว่าเซลล์ที่ฉีดเช่นเดียวกัน เข้าไปอาจไปสร้างเส้นเลือด สร้างกระดูก หรืออาจทำให้เกิดมะเร็งได้อีก”
       
       เหตุดังกล่าวทำให้แพทยสภาไม่สามารถอยู่เฉยกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ จึงออกประกาศควบคุม ในข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เรื่องการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษา พ.ศ. 2552 ระบุชัดโดยสรุปว่า ผู้ที่จะปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาโรคในคน ยกเว้นโรคทางโลหิตวิทยานั้น จะต้องทำการ
       
       1.รักษาเฉพาะโรคที่มีผลวิจัยรองรับและเป็นที่ยอมรับแล้วว่าเป็นวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐานและแพทยสภาเห็นชอบเท่านั้น
       
       2.หากจะไปรักษาโรคที่ยังอยู่ในระหว่างการวิจัย จะต้องได้รับอนุมัติจาก คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนของสถาบันที่ผู้ทำวิจัยสังกัด และคณะกรรมการวิชาการและจริยธรรมการวิจัยในคนด้านเซลล์ต้นกำเนิดของแพทยสภา
       
       3.ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาต้องได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติของแพทยสภาหรือจากสถาบันที่แพทยสภารับรอง
       
       4.ต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากแพทยสภาให้สามารถทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาได้
       
       ส่วนใครที่เคยรักษามาก่อนหน้านี้ จะต้องส่งหลักฐานแสดงว่าการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดนั้นเป็นวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐาน และใครที่กำลังดำเนินการวิจัยจะต้องส่งโครงร่างการวิจัย เอกสารคู่มือการวิจัย เอกสารรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมจากสถาบันที่ผู้วิจัยสังกัด รวมทั้งเอกสารชี้แจงโครงการวิจัยและเอกสารยินยอมของคนไข้ ฯลฯ มาให้แพทยสภาด้วย
       
       “ก่อนหน้าที่เราจะออกประกาศมีหลายโรงพยาบาลทำอยู่แล้ว บางโรงพยาบาลปลูกถ่ายรักษากล้ามเนื้อหัวใจที่ตายไปให้กลับมาเป็นปกติ มีอยู่โรงพยาบาลหนึ่งทำไป 120 รายแล้ว แต่ความจริงคือในวงการแพทย์ยังไม่ได้ให้การยอมรับ เราโดนต่างประเทศโจมตีเรื่องนี้มากในปี 2550 ว่าเมืองไทยทำไมถึงไม่มีการควบคุม เหมือนหลอกคนของเขามาทำให้ดีขึ้นชั่วคราวแล้วก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องเร่งแก้ไข เพราะว่าไทยวางเป้าหมายที่จะเป็น Medical Hub ถ้าทำไม่ดี วันหลังจะเสียชื่อมาก ต้องทำให้เกิดมาตรฐาน”
       
       นี่เป็นเหตุผลที่แพทยสภาต้องตั้งคณะกรรมการมาพิจารณาเรื่องของสเต็มเซลล์นี้โดยเฉพาะ และโดยเร่งด่วน!
       ธุรกิจขายความหวัง-คนรวยเป็นเหยื่อ
      
       แพทยสภาและวงการแพทย์เองต่างรู้ดีว่า แม้แพทยสภาจะออกประกาศดังกล่าวมา แต่ธุรกิจสเต็มเซลล์ก็ยังอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายในการหาผลประโยชน์มหาศาลได้
      
       “คนป่วยโรคร้ายก็เหมือนชีวิตหมดความหวัง แพทย์ที่ไม่มีจริยธรรมก็รู้จุดนี้ดี บางคนจึงใช้สเต็มเซลล์มาเป็นธุรกิจขายความหวังให้คนไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรวยที่มีอำนาจจ่ายเงินได้ไม่อั้น แม้มีความหวังเพียงน้อยนิด คนเหล่านี้ก็พร้อมจะเสี่ยง ถามว่าคนไข้รู้ไหมว่าต้องเสี่ยง เขารู้นะ แต่มันเป็นความหวังเดียวที่จะรอด คือเราไม่รู้ว่าหมอเขาพูดอะไรให้คนไข้ฟัง แล้วคนไข้ยินยอมอย่างไร กรณีนี้เห็นได้ชัดว่าเคยมีคนไข้ที่มีปัญหาจากการฉีดสเต็มเซลล์แต่ไม่มีใครฟ้องร้อง เมื่อไม่มีใครฟ้องร้องแพทยสภาก็เอาผิดหมอคนนั้นๆ ไม่ได้ จะเข้าไปตรวจสอบรายต่อรายก็เป็นเรื่องยาก”
      
       อีกทั้งคนในกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ กำลังเป็นกลุ่มคนที่ถูกตั้งคำถามจากหมู่แพทย์ด้วยกันว่า กำลังทำธุรกิจผลประโยชน์มหาศาลนี้เพื่อหลอกเอาเงินคนรวยโดยเฉพาะ เพราะค่ารักษาต่อหัวตกแล้วอย่างต่ำ คนคนหนึ่งที่จะทำการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ได้จะต้องจ่ายเป็นหลักล้านบาท
      
       ดังนั้น ธุรกิจสเต็มเซลล์ ก็คือธุรกิจหลอกเงินคนรวย! นายกแพทยสภาย้ำชัดเจน
      
       “ถ้าจะให้ถูกต้อง มันมีหลักเกณฑ์ว่า อันดับแรกหมอต้องบอกคนไข้ว่าการรักษานี้เป็นเพียงการทดลอง เป็นการทำงานวิจัย และสองจะคิดเงินผู้ป่วยไม่ได้ อย่างที่บอกส่วนใหญ่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับคนรวยโดยเฉพาะ เพราะคนกลุ่มนี้มีเงินมาก และพร้อมจะซื้อโอกาสรอด แต่มันไม่ถูก คนไข้เวลาจะต้องตาย หมอบอกว่ามีโอกาสรอด แต่ไม่บอกรอดกี่เปอร์เซ็นต์ มีปัจจัยแทรกซ้อนอะไรบ้าง ไม่ได้บอกทั้งหมด”
      
       3 กลุ่มเกี่ยวข้องสเต็มเซลล์
      
       นพ.สมศักดิ์เปิดเผยว่า ตามรายงานที่ส่งมาให้แพทยสภา จะมีคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการใช้สเต็มเซลล์ในวงการแพทย์ 3 กลุ่ม ได้แก่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย, โรงพยาบาลเอกชน และบริษัทหรือคลินิกสถานบริการสุขภาพต่างๆ
      
       โดยกลุ่มโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหรือโรงพยาบาลรัฐนั้น มีหลายแห่งที่ทำการปลูกถ่ายเซลล์ให้คนไข้ แต่อยู่ในขั้นตอนของการวิจัย ซึ่งระบุชัดว่าจะต้องบอกรายละเอียดให้คนไข้ทราบว่าเป็นการทดลอง มีหนังสือยินยอม และห้ามเก็บเงินค่ารักษาโดยเด็ดขาด โดยปกติแล้วกลุ่มแพทย์ในโรงพยาบาลแพทย์จะทำการวิจัยอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ค่อยทำผิดมาตรฐานทางวิชาการ แต่ที่ผ่านมาพบว่ามีโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในต่างจังหวัดมีการเก็บเงินจากผู้ป่วย โดยอ้างว่าผู้ป่วยนั้นเบิกค่ารักษาจากกรมบัญชีกลางได้ ดังนั้นจึงไม่ได้เก็บเงินจากผู้ป่วยโดยตรง แต่เป็นรัฐจ่ายให้ ซึ่งในส่วนนี้ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดอยู่ ทางแพทยสภากำลังดำเนินการให้มีการแก้ไขปัญหานี้
      
       สำหรับกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่มีการนำเอาเรื่องสเต็มเซลล์ไปโฆษณารักษาโรคนั้น มีส่วนหนึ่งก็เกิดจากแพทย์โรงพยาบาลรัฐบางคนได้นำเอาโครงการวิจัยสเต็มเซลล์ไปร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เพื่อทำการวิจัยรักษาคนไข้ แต่ในรายละเอียดแล้ว ไม่ทราบแน่ชัดว่าแพทย์ได้แจ้งกับคนไข้ถึงความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด รวมกระทั่งว่าได้แจ้งหรือไม่ว่าเป็นเพียงขั้นตอนของการทดลอง และต้องไม่มีการเก็บเงิน
      
       ส่วนกลุ่มคลินิกหรือสถานบริการต่างๆ นั้น ส่วนใหญ่ได้นำสเต็มเซลล์มาใช้ในเรื่องของการชะลอความแก่เป็นหลัก รวมทั้งมีบางส่วนตั้งเป็นบริษัทเก็บสเต็มเซลล์ของตัวเองไว้ใช้รักษาตัวเองด้วย
      
       จะเห็นได้ว่ากลุ่มธุรกิจสเต็มเซลล์ทุกวันนี้ถูกจำแนกออกเป็นในเรื่องของการรักษา และการเก็บสเต็มเซลล์ของตัวเองไว้ใช้ในอนาคต
      
       โดยกลุ่มธุรกิจฟากรักษาก็จะมีการรักษาโรคร้ายต่างๆ ด้วยการทำลายเซลล์ที่มีปัญหาออกไป แล้วปลูกถ่ายเซลล์ใหม่เข้ามา กลุ่มนี้คนที่ไปหาประโยชน์จากการโฆษณาสเต็มเซลล์เกินจริง จึงเอาความหวังของคนที่เป็นโรคร้ายมาหาผลประโยชน์จากคนเหล่านั้น
      
       นายกแพทยสภาบอกว่า แพทย์กลุ่มนี้ผิดจรรยาบรรณแพทย์อย่างรุนแรง แต่คนที่ทำเขาก็ไม่แคร์ เพราะว่าได้เงินมหาศาลมาก ขณะที่เวลาทำการโฆษณาก็ให้คนอื่นเป็นคนโฆษณา แพทยสภาก็ไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะแพทยสภามีหน้าที่ควบคุมจริยธรรมของแพทย์เท่านั้น
       เสริมนม-ชะลอความแก่ ระวัง!มะเร็ง
       
       ขณะที่กลุ่มธุรกิจความงาม ฉีดสเต็มเซลล์เพื่อชะลอความแก่ที่ขณะนี้มีการให้บริการอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังมีผู้ที่เชื่อว่าการฉีดสเต็มเซลล์จะทำให้เต้านมใหญ่ขึ้นได้ ที่ผ่านมาก็มีคนฉีดสเต็มเซลล์เพื่อเสริมเต้านม โดยไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมีความเสี่ยงที่จะเป็นเนื้องอกและมะเร็งได้ ที่สำคัญเต้านมทั้ง 2 ข้างก็อาจจะไม่เท่ากัน
      
       อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจเก็บสเต็มเซลล์นั้น จะเป็นการขายความเชื่อ โดยให้คนที่มีเงินเก็บสเต็มเซลล์ของตัวเองไว้ใช้ในอนาคต ซึ่งถามว่าอนาคตนั้นมีสิทธิที่วิทยาการการแพทย์ในด้านสเต็มเซลล์จะก้าวหน้าหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามี แต่ก็ใช่ว่าจะจำเป็นต้องใช้สเต็มเซลล์ของตัวเอง อย่างโรคมะเร็ง ก็จำเป็นต้องใช้สเต็มเซลล์ที่ไม่ใช่ของตัวเอง เพราะเกรงว่าเลือดจะเจือปนเชื้อมะเร็งอยู่ เป็นต้น อีกทั้งเทคโนโลยีการเพาะเซลล์ก็สามารถทำได้ในเทคโนโลยีที่มีอยู่ ไม่ยากที่จะเพาะเซลล์ขึ้นมาใหม่ จึงไม่จำเป็นต้องเก็บสเต็มเซลล์ของตัวเองไว้ใช้ในอนาคตยาวถึง 20 ปี
      
       “ที่พบมากคือ มีการโฆษณาเกินจริง มันไม่มีประโยชน์ ประเทศสหรัฐอเมริกามีการตีพิมพ์งานวิจัยระบุชัดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บสเต็มเซลล์ของตัวเราเองไว้ใช้ในอีก 20 ปีข้างหน้า แต่แพทยสภาก็ไม่ได้ไปเอาผิด เพราะถือเป็นธุรกิจที่เอาสเต็มเซลล์มาเก็บเฉยๆ ไม่ได้ทำร้ายมนุษย์ แต่มันไม่จำเป็นต้องเก็บ เพราะจริงๆ เก็บไปก็ไม่ได้ใช้”
      
       ดังนั้น เวลานี้ในประเทศไทยและแทบทุกประเทศทั่วโลกรับรองการใช้วิทยาการแพทย์มารักษาโรคด้วยการใช้สเต็มเซลล์เพียงโรคที่เกี่ยวกับโรคเลือดเท่านั้น
      
       โรคทางกระดูก กล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อตา ข้อเข่า เต้านม มะเร็งที่ไม่ใช่มะเร็งในเม็ดเลือด รวมทั้งการฉีดสเต็มเซลล์เพื่อความงาม ชะลอความแก่ทั้งหลาย
      
       ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนยังไม่มีการรับรองความปลอดภัย!
      
       คนไข้ต้องรู้เท่าทัน-ร้องเรียนแพทยสภาได้ทันที
      
       นายกแพทยสภายอมรับอย่างหนักใจว่าแพทยสภาเองก็รู้ว่าแพทย์คนใด กลุ่มใด โรงพยาบาลใดมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็ยังไม่สามารถเอาผิดกับแพทย์ หรือโรงพยาบาลที่โฆษณาเกินจริงได้ เพราะเขาอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายแพทยสภาให้คนอื่นที่ไม่ใช่แพทย์เป็นผู้โฆษณา อีกทั้งที่สำคัญหากไม่มีคนไข้ หรือญาติคนใดกล้ามาร้องเรียนกับแพทยสภา การเอาผิดแพทย์ที่ผิดจรรยาบรรณจึงดูเหมือนเป็นเรื่องยากที่การควบคุมของแพทยสภาจะเข้าไปถึง
      
       ที่สำคัญแพทย์บางคนก็ให้คนไข้เซ็นสัญญาว่าจะไม่มีการเอาผิดหรือฟ้องร้องแพทย์หากเกิดปัญหาใดๆ ตามมา ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว นายกแพทยสภาย้ำว่าข้อสัญญาที่แพทย์ให้คนไข้เซ็นชื่อไว้นั้นอาจไม่ตรงกับกฎของแพทยสภา เพราะท้ายที่สุดแล้วจะมีแต่ตัวคนไข้ และหมอผู้ทำการรักษาเท่านั้นที่รู้ว่าเอกสารที่เซ็นไป มีเนื้อหาว่าอย่างไร ครอบคลุมกฎของแพทยสภาหรือไม่
      
       ดังนั้น คนไข้หรือญาติที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนกับแพทยสภาได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนหรือสถานบริการสุขภาพต่างๆ เพราะอาจจะทำให้มีอาการโรคแทรกซ้อน หรือว่าไม่มีโรคแทรกซ้อนแต่มีการเรียกเก็บค่ารักษาในการใช้สเต็มเซลล์รักษาโรคที่ไม่เกี่ยวกับเลือดได้เช่นกัน
      
       “หากมีคนไข้ ญาติคนไข้ออกมาร้องเรียน กลไกของแพทยสภาจะเข้าไปตรวจสอบ และควบคุมเรื่องนี้ได้ดีขึ้น เพราะข้อเท็จจริงมีคนไข้ที่ฉีดสเต็มเซลล์แล้วเกิดเป็นก้อนเนื้อ ที่สุดพบว่าเป็นมะเร็งไปรักษาที่โรงพยาบาลแพทย์ แต่ไม่ต้องการร้องเรียนเพราะกลัวเสียชื่อเพราะเป็นที่รู้จักในสังคม ทางแพทยสภาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร”
      
       นายกแพทยสภายืนยันอีกครั้งว่า ไม่เคยบอกว่าสเต็มเซลล์ไม่ดีกับวงการแพทย์ และสเต็มเซลล์เป็นความหวังให้กับคนไข้ได้จริง แต่ไม่ใช่วันนี้ เพราะประเทศไทยและทั่วโลกยังไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของมนุษย์ได้ และอยากบอกคนไข้รวมทั้งญาติคนไข้ทุกคนอย่าไปคิดว่าไหนๆ ก็ต้องตายแล้ว ขอให้มีความหวังรอดสัก 1% จะยอมทุ่มเงินเท่าไรเท่ากัน เพราะว่าความหวังจอมปลอมก็มีคนมาหาประโยชน์ก็เยอะ แทนที่จะดีขึ้น กลับทรุดลงกว่าเดิม!
      
       อย่างไรก็ดี ธุรกิจสเต็มเซลล์ แม้วันนี้แพทยสภาหรือโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทย์ พบว่าธุรกิจนี้มีมูลค่ามหาศาล และอยากจะปกป้องไม่ให้ประชาชนทั่วไปต้องตกเป็นเหยื่อของนวัตกรรมความก้าวหน้าที่มีผู้เกี่ยวข้องทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ แพทย์ และหน่วยราชการของรัฐได้ใช้อำนาจ ความเชื่อ มาหลอกลวงให้คนหลงเชื่อไปใช้บริการก็ตาม
      
       แต่ในความเป็นจริง แพทยสภา หรือบรรดาแพทย์ที่ถือระเบียบจริยธรรม ก็ไม่สามารถเข้าไปจัดการได้ เพราะคนกลุ่มนี้คือ “มาเฟียธุรกิจสเต็มเซลล์” หากเข้าไปยุ่งอันตรายมาถึงตัวแน่ หรืออาจต้องเผชิญมรสุมเช่นที่ รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร เจ้าของ “ฮาร์ท เจเนติกส์” กำลังถูกคุกคามอยู่ก็เป็นได้ (ตอนที่ 5)
ที่มา : www.manager.co.th