วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

ปัญหานิ่วค้างในท่อน้ำดี ระหว่าง/หลัง ล้างพิษตับ

   ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
     
       แม้ว่าการล้างพิษตับจะได้รับการพิสูจน์ตาม ผลการสำรวจเลือดและอัลตร้าซาวด์ในผู้ที่เข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการ 108 คน ของกลุ่มบุญคณา จังหวัดขอนแก่น ระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม พ.ศ.2556 ทำให้เราได้เห็นว่านิ่วในถุงน้ำดีมีขนาดเล็กลงหรือถูกขับออกหลังผ่านหลักสูตรล้างพิษตับ โดยจำนวนผู้เข้าหลักสูตร 108 ราย เมื่อได้รับการตรวจโดยอัลตร้าซาวด์แล้วพบว่า ผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีก่อนเข้าหลักสูตรล้างพิษตับ 15 ราย ปรากฏว่าหลังจบหลักสูตรล้างพิษตับมีคนที่นิ่วหายไปจากถุงน้ำดี 7 ราย ยังคงมีนิ่วอยู่แต่ขนาดเล็กลงหรือมีจำนวนน้อยลง 5 ราย และเท่าเดิม 3 ราย (อ่านรายละเอียด ในภาค 4 เขาว่าล้างพิษตับเป็นเรื่อง “หลอกลวง” ตอนที่ 3 : พิสูจน์ผลการตรวจเลือดและอัลตร้าซาวด์ 108 คน ครั้งแรกในประเทศไทย)
     
        หมายความว่าจากการศึกษาครั้งนี้พบว่าผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีมีอาการดีขึ้น 12 ราย จาก 15 ราย และเรื่องที่น่าสนใจพบว่ามีหลายกรณีมีนิ่วขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด
ภาพที่ 1 แสดงผลสำรวจอัลตร้าซาวด์นิ่วในถุงน้ำดีผู้เข้าหลักสูตรล้างพิษตับที่ผู้มีนิ่วส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น
       สิ่งที่น่าสนใจก็คือผู้ที่มีนิ่วเหล่านี้ไม่ต้องใช้วิธีการผ่าตัดเลย โดยเฉพาะมีรายหนึ่งนั้นเดิมมีนิ่วในถุงน้ำดีขนาดใหญ่ 3.7 เซนติเมตร ไม่สามารถที่จะผ่านท่อน้ำดีได้เลย แต่การที่หายไปได้นั้นย่อมแสดงว่ากระบวนการล้างพิษตับทำให้นิ่วมีขนาดเล็กลง
     
        เพราะโดยปกติแล้วนิ่วในท่อน้ำดี ถ้าเป็นก้อนเล็กๆอาจมีหลายก้อน แต่ก็จะสามารถเคลื่อนลงมาจากถุงน้ำดีลงมาได้ แต่ถ้าเป็นก้อนใหญ่เกิน 1 เซนติเมตรมักจะติดอยู่ที่ท่อน้ำดี ถ้าอุดตันน้ำดีก็จะผ่านไม่ได้ทำให้ตัวเหลือง ตาเหลือง หากติดเชื้อร่วมด้วยจะมีไข้หนาวสั่น หรือหากมีนิ่วอยู่ในถุงน้ำดีมากก็มีโอกาสที่ถุงน้ำดีจนเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณดังกล่าวได้
     
        แต่การที่ก้อนิ่วขนาดใหญ่หายไปได้ทั้งๆที่มีขนาด 3.7 เซนติเมตร อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณีคือ นิ่วมีขนาดเล็กลง และท่อน้ำดีเปิดกว้างมากขึ้น
     
        เมื่อลงรายละเอียดก็จะยิ่งเห็นได้ชัดว่านิ่วในถุงน้ำดีมีขนาดเล็กลงจริงๆ โดยในบางรายจากเดิมมีขนาด 1.9 เซนติเมตร ลดลงเหลือ 1.2 เซนติเมตร
ภาพที่ 2 แสดงผลสำรวจอัลตร้าซาวด์นิ่วในถุงน้ำดีที่มีขนาดเล็กลงหลังผ่านหลักสูตรล้างพิษตับ
       นั่นหมายความว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่สามารถแก้ไขปัญหานิ่วในถุงน้ำดีได้โดยไม่ต้องมีการผ่าตัด!!!
     
       อันเดรียส์ มอริสต์
 ผู้ทรงอิทธิพลด้านการล้างพิษตับชาวเยอรมันได้กล่าวถึงกรณีที่นิ่วมีขนาดเล็กและนิ่มลงว่าเกิดจากน้ำผลไม้ เช่น น้ำแอปเปิ้ล ซึ่งมีกรดมาลิคที่ทำให้นิ่วนิ่มลง และการดื่มน้ำมันมะกอกทำให้ท่อน้ำดีเปิดกว้างและขับออกมา ในขณะเดียวกันน้ำดีที่ออกมาจำนวนมากด้วยการดื่มน้ำผลไม้ทำให้คุณภาพน้ำดีเปลี่ยนไปทำให้ตะกอนนิ่วเล็กลงและขับออกมาได้
     
       รศ.นพ.อนัน ศรีพนัสกุล อาจารย์แพทย์จากภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อธิบายว่า “คือเขาไปกระตุ้นน้ำดีออกมาเยอะๆ มันก็อาจจะ Flush หรือล้างออกมาได้ แล้วก็น้ำดีหลังจากที่อดอาหาร ทานแต่น้ำแอปเปิ้ลมันก็มีผล พวกวิตามินซี ทำให้น้ำดี อาจจะคุณภาพน้ำดีของคนๆนั้นเขาเปลี่ยนไป สมัยเก่าอาจจะเป็นน้ำดีชนิดที่พร้อมจะตกตะกอน เป็นนิ่วง่าย ก็กลายเป็นน้ำดีที่ดีขึ้นกว่าเก่า มันก็อาจจะมาละลายอยู่ตรงนี้ได้ แล้วพอมันเล็กลงมันก็มีโอกาสหลุดออกมาได้ ถ้ามันดีมากๆมันอาจจะละลายหมดไปเลยอย่างนี้ก็ยิ่งดี เป็นเล็กๆเลยหรือเป็นฝุ่นเป็นตะกอนเลยมันก็ออกมาได้ง่ายขึ้น”
     
        แม้จะเป็นวิธีที่น่ามหัศจรรย์เพราะเป็นการขจัดนิ่วขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะหากสมมุติเกิดนิ่วมีขนาดเล็กลงแต่เล็กลงไม่พอ แล้วปรากฏว่าระหว่างล้างพิษหรือหลังล้างพิษนิ่วเหล่านั้นถูกขับออกมาแล้วปรากฏว่าติดอยู่ที่ท่อน้ำดี ตรงนี้ก็ถือว่ามีอันตรายเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพียงแต่ตามสถิติเท่าที่ผ่านมาคนที่โชคร้ายเช่นนี้ยังเกิดขึ้นน้อยมาก และมีคนโชคดีมากกว่า
     
        แม้แต่คนที่ผ่าตัดถุงน้ำดีแล้วก็ตาม ก็ยังมีโอกาสที่อาจจะมีตะกอนไขมันที่ออกมาจากตับติดค้างอยู่ในท่อน้ำดีได้ด้วยเช่นกัน
     
        นิ่วในถุงน้ำดี (gallstone หรือ choletihiasis) เป็นโรคของถุงน้ำดีที่พบได้บ่อย โดยที่นิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากการตกผลึกของคอเลสเตอรอล เลซิทิน และกรดน้ำดี ซึ่งเป็นองค์ประกอบของน้ำดี เมื่อนิ่วผ่านลงมาในท่อน้ำดีก็จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง โดยเฉพาะในช่วงระหว่างมื้ออาหาร ในกรณีที่ก้อนนิ่วไปอุดตันส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบท่อน้ำดี จะทำให้เกิดอาการปวดบิดรุนแรง ที่เรียกว่า ไบเลียรี่ โคลิค (biliary colic) ผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ำดียังมีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง และอาจเกิดความผิดปกติของตับอีกด้วย
     
        ดังนั้นถ้าหลังล้างพิษตับแล้วมีอาการตัวเหลือง อันเดรียส์ มอริสต์ แนะนำให้ดื่มน้ำแอปเปิ้ลให้มากๆ เพื่อใช้กรดมาลิคจากแอปเปิ้ลไปลดขนาดของนิ่วให้ลดลง และหากเวลาผ่านไปเกิดอาการปวดท้องบิดรุนแรง หรืออาจมีไข้ร่วมด้วย ควรส่งตัวไปโรงพยาบาลจะดีที่สุด
     
        ทั้งนี้มีข้อน่าสังเกตคือหากผู้เข้าหลักสูตรล้างพิษที่ดื่มน้ำผลไม้น้อยหรือดื่มน้ำแอปเปิ้ลน้อย ก้อนไขมันที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดีเหล่านี้มักจะแข็งตัวเมื่อขับถ่ายออกมา ซึ่งก็น่าจะมีความสอดคล้องกับข้อสันนิษฐานในเรื่องวิตามินซีและคุณภาพของน้ำดีเปลี่ยนไปเมื่อมีน้ำผลไม้มากขึ้น
     
        โดยปกติเมื่อพบก้อนนิ่วติดค้างในถุงน้ำดี แพทย์แผนปัจจุบันจะนัดทำส่งกล้องแล้วเอาออกเลย ถ้าก้อนเล็กอาจขบแล้วใช้บอลลูนหรือเป็นตะกร้าไปสวมก้อนแล้วค่อยดึงออกมาเมื่อทำแล้วกลับบ้านได้เลย หรือรายที่เป็นก้อนใหญ่มากอาจใช้แสงเลเซอร์ยิงไปที่ก้อนให้สลายเล็กลงซึ่งใช้เวลานานและอาจผ่านตัดใส่ท่อน้ำดีให้ไหลผ่านได้ชั่วคราวแล้วนัดทำใหม่อีก 1-3 เดือน หรือไม่ก็ผ่าตัดเอาออกนอนอยู่โรงพยาบาลจนกว่าจะฟื้น
     
        ดังนั้นแม้การล้างพิษตับจะเป็นแพทย์ทางเลือก แต่ก็ต้องไม่ประมาทในการสังเกตอาการและพิจารณาเพื่อผสมผสานกับแพทย์แผนปัจจุบันด้วย

ที่มา : www.manager.co.th

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

"พริกไทย" สมุนไพรป้องกันโรคอัลไซเมอร์

 พริกไทย หรือ พริกน้อย (Pepper) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Piper naอินเดีย และเป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันประเทศในอาเซียน อย่างเวียดนามได้กลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกพริกไทยรายใหญ่ที่สุดของโลกไปแล้ว ส่วนอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ก็ยังคงเป็นแหล่งผลิตพริกไทยที่สำคัญ
       พริกไทย จัดเป็นเครื่องเทศรสเผ็ดที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนไทยมาช้านาน มีตำรับอาหารมากมายที่จะขาดพริกไทยไม่ได้ เช่น แกงเลียง คั่วกลิ้ง และสำหรับการใช้เป็นยานั้น พริกไทยเป็นสมุนไพรที่ปรากฏอยู่ในตำรับยามากที่สุดชนิดหนึ่ง อาทิ ตำรับยาเลือด ตำรับยาแก้จุกเสียด ตำรับยาแก้กษัย ตำรับยาแก้ทางเสมหะ หอบหืด ตำรับยาแก้ซาง ตำรับยาแก้ริดสีดวง ซึ่งจะต้องมีพริกไทยเป็นตัวยาอยู่ด้วยเสมอ   ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า “เป็นที่น่าสังเกตว่า พริกไทย เป็นสมุนไพรที่ไม่ใช้เป็นยาตัวเดียวโดดๆ หรือแม้แต่ในการทำกับข้าวพริกไทยก็ยังต้องเข้าคู่กับเครื่องเทศอื่นๆ เช่น ปลาทอดขมิ้นก็ต้องใส่พริกไทยด้วย หรือ ยามหากำลังปลาช่อน ซึ่งเป็นยาบำรุงท่านชายในอดีต ก็เอาพริกไทยล่อนยัดท้องปลาช่อนเอาไปตากๆ ย่างๆ จนกรอบแล้วบดไว้ละลายน้ำผึ้งกิน  เช่นเดียวกับตำรับยาบำรุงเหงือกปลาหมอ หรือยาบำรุงบัวบก จะต้องมีพริกไทยอยู่หนึ่งส่วนต่อสมุนไพรเหล่านี้สองส่วน ดูเหมือนกับว่าพริกไทยเป็นสมุนไพรที่ต้องทำงานร่วมกับ สมุนไพรตัวอื่น จึงจะเกิดผลดีสูงสุด หมอยาพื้นบ้านมักจะสั่งสอนลูกศิษย์ว่า พริกไทยเป็นยาเสริมพลังยาตัวอื่นเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อน เช่น ตำรับยาขับปัสสาวะต้องใส่พริกไทยลงไปด้วยเจ็ดเม็ด
       จากการศึกษาวิจัยสมัยใหม่พบว่า พริกไทยช่วยทำให้ระบบการดูดซึมสารอาหารและตัวยาต่างๆของร่างกายดีขึ้น เช่น เมื่อให้ขมิ้นชันร่วมกับพริกไทย จะทำให้สารเคอร์คิวมินและสารเบต้าแคโรทีนในขมิ้นถูกดูดซึมได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันพริกไทยจะออกฤทธิ์ต่อทางเดินอาหารได้ดี ก็ต้องมีพริกหรือขมิ้นอยู่ด้วย 
       พริกไทยเป็นสมุนไพรรสร้อน แก้โรคที่เกิดจากธาตุไฟพร่อง เช่น ช่วยย่อยอาหาร รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้โรคที่เกิดจากธาตุน้ำ และธาตุลมกำเริบ พริกไทยเป็นเครื่องยาที่ตามพระสูตรในพระพุทธศาสนาอนุญาตให้พระภิกษุเก็บไว้รักษาตัวได้ และยังอยู่ในตำรับยาของอายุรเวทที่ใช้กันมาประมาณ 4,000 ปี คือ ตรีกฎุก ซึ่งยาตำรับนี้ประกอบด้วย พริกไทย ดีปลี ขิงแห้ง จึงเหมาะเป็นตำรับยาในการดูแลสุขภาพในฤดูฝนซึ่งน้ำมากและเสมหะกำเริบได้ง่าย ส่วยในตำรับยาอายุรเวทของอินเดียมีการใช้พริกไทยทั้งในรูปแบบผงพริกไทยและสารต้มสกัดพริกไทย ในการรักษาแบบพื้นบ้านสำหรับโรคต่างๆ ตั้งแต่ อัมพฤกษ์ อัมพาต คอเจ็บ ไอ คออักเสบ จนถึงปวดฟัน ซึ่งเป็นสรรพคุณที่ใช้กันในยุโรปโบราณด้วยเช่นกัน 
       ปัจจุบันมีรายการศึกษาฤทธิ์ของพริกไทย พบว่าสารออกฤทธิ์ของพริกไทย คือ สารพิเพอรีน (Piperine) ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและลำไส้ทำงานดีขึ้น และกระตุ้นให้ระบบทางเดินอาหารหลั่งน้ำย่อยเพื่อย่อยโปรตีน ไขมัน และแป้ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ย่อยโปรตีนได้จะมีมากเป็นพิเศษ ซึ่งสารพิเพอรีนนี้ ยังเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น เซเลเนียม วิตามินบี เบต้าแคโรทีน เคอร์คูมิน รวมทั้งสารอาหารอื่นๆ และเนื่องจากเป็นสารให้ความร้อน จึงช่วยให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น เพิ่มการเผาผลาญอาหารต่างๆ ทำให้ร่างกายได้พลังงานมากขึ้น เพิ่มการผลิตสารในสมองที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
       ฤทธิ์ที่สำคัญๆ ของสารพิเพอรีนในพริกไทย ยังรวมถึงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านการชัก ต้านมะเร็ง การที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทำให้พริกไทยมีแนวโน้มว่า จะช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุได้ เนื่องจากมีการทดลองในหนูที่เซลล์ประสาทส่วนกลางของการรับรู้เสื่อม พบว่า หนูที่มีความจำเสื่อมนี้กลับมาเป็นปกติ นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดด้วยน้ำของพริกไทยมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง  ฉะนั้นแกงเลียงซึ่งเป็นเมนูที่หนักพริกไทยจึงน่าจะเป็นอาหารต้านมะเร็งอีกอย่างหนึ่ง”
       อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลว่าการรับประทานสารพิเพอรรีนในขนาดสูงร่วมกับอาหารที่มีไนไตรท์จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง สารไนไตรท์จะพบมากในอาหารที่ใช้สารกันบูดพวกโซเดียมไนไตรท์ และโปแตสเซียมไนไตรท์ และสารพวกดินประสิวที่ทำให้เนื้อมีสีแดง เช่น ไส้กรอก แหนม กุนเชียง หรือแม้แต่ผักที่เร่งปุ๋ยไนโตรเจนมากๆ จึงควรระมัดระวังในการรับประทาน ถ้าสามารถเลือกบริโภคผักที่ไม่ใช้สารเคมีและทำอาหารกินเองได้ ก็จะช่วยให้ได้ประโยชน์จากการกินพริกไทยได้มากทีเดียว
       นอกจากนี้ พริกไทย เป็นยาเพิ่มกำลังให้ยาตัวอื่นเช่นเดียวกับดีปลี มีคุณสมบัติทำให้การดูดซึมโอสถสารต่างๆ เข้าสู่ร่างกายสูงขึ้น ดังนั้น เมื่อใดกินยาตำรับที่มีพริกไทยหรือดีปลีต้องระวังการได้รับยาเกินขนาด มีการพบว่าคนที่กินยาแผนโบราณในกลุ่มยาแก้กษัยซึ่งมักจะใส่ยาร้อนลงไปด้วย หากได้รับยาต้านการเข็งตัวของเลือดด้วยจะมีผลทำให้เลือดออกตามอวัยวะต่างๆ ได้
       ล้อมกรอบ
       ตำรับยาที่มีพริกไทยเป็นส่วนประกอบ
       ยาแก้ลมจุกเสียด
       ใช้ดีปลี 1 ส่วน, พริกไทย 1 ส่วน, กระวาน 1 ส่วน, กานพลู 1 ส่วน, หัสคุณ 1 ส่วน, ผิวมะกรูด 1 ส่วน เอาเท่าๆ กัน บดละลายน้ำร้อนกินครั้งละ 1 ช้อนชา แก้ลมแน่นอก จุดเสียดอาหารไม่ย่อยยาบำรุงธาตุประจำบ้าน
       ใช้กระชาย 3 บาท, ขมิ้น 3 บาท, พริกไทยล่อน 3 บาท, ลูกกระวาน 3 บาท, ว่านน้ำ 3 บาท ละลายด้วยน้ำผึ้งกิน ครั้งละ 1 - 2 ช้อนชา ช่วยบำรุงธาตุ ทำให้อายุยืน คนโบราณถือว่าเป็นยาประจำบ้าน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย กินหลังอาหารได้ทุกเวลา
       ยากำลัง (ห้ามสมณะฉัน)
       ใช้กล้วยน้ำสุก 1 หวี, เนื้อมะตูมสุก 5 ผล, พริกไทยล่อน 1 ตำลึง ยาทั้ง 3 อย่างนี้ ตำเข้าด้วยกันให้ละเอียดแล้วทำเป็นแผ่น ตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาใส่ขวดหรือใส่โหล เอาน้ำผึ้งรวงใส่ให้ท่วมยา ปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ 2 อาทิตย์ แล้วนำมารับประทานวันละ 1 ช้อนกาแฟ
       ยาอายุวัฒนะ
       ใช้บอระเพ็ดหนัก 6 บาท, กระเทียมแกง 3 บาท, พริกไทยล่อน 2 บาท, ขิงแห้ง 1 บาท, ลูกยอหนักเท่ายาทั้งหลาย, ยาดำหนัก 3 บาท ยาทั้งหมดตากแดดให้แห้ง ทำเป็นยาผง รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา  วันละ 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้งก็ได้ ละลายน้ำผึ้งรับประทานหนึ่งเดือน โรคภัยหายหมด จะมีผิวพรรณวรรณะผ่องใส กลับเป็นหนุ่มเป็นสาว
       ยามหากำลังปลาช่อน
       ใช้ปลาช่อนตัวโตๆ ทั้งเกล็ด เอาพริกไทยล่อนยัดท้องปลาให้เต็ม แล้วนำไปย่างไฟพอควร จากนั้น นำไปตากแดด พอแห้งดีนำไปย่างไฟอ่อนๆ ให้แห้งกรอบ แล้วนำไปบดให้ละเอียด ละลายน้ำผึ้ง ปั้นลูกกลอน ขนาดปลายนิ้วก้อย กินครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 เวลา ท่านชายจะมีกำลังวังชา
       ยาบำรุงกำลังไข่ลวก
       ใช้พริกไทยป่น 1 ช้อนชาพูนๆ กับเกลือเล็กน้อย ผสมไข่ลวก 2 ฟองกับน้ำร้อน ตีให้แตก กินทุกเช้า ท่านชายจะมีกำลังวังชา
       ยาแก้เสมหะ และหอบ
       ใช้ตรีกฎุก 1 ส่วน, สมอไทย 1 ส่วน, เกลือสินเธาว์ 1 ส่วน ตำเป็นผงละลายน้ำร้อน หรือน้ำส้มงั่ว น้ำส้มซ่า น้ำมะกรูด น้ำขิง น้ำตะไคร้ก็ได้

ที่มา : www.manager.co.th

สีของอุจจาระ บอกสุขภาพ

สีของอุจจาระ

สีของอุจจาระขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณทานเข้าไปและปริมาณของน้ำดี (bile) ในอุจจาระ น้ำดีคือของเหลวสีเขียวๆจากถุงน้ำดีที่มีหน้าที่ช่วยย่อยไขมัน ซึ่งจะถูกเอนไซม์ต่างๆทำปฏิกิริยาด้วย เลยเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลระหว่างที่ไหลลงมาตามระบบทางเดินอาหาร

ดังนั้น อุจจาระที่ปกติมักจะมีสีอยู่ระหว่างเขียว-เหลือง-น้ำตาล

  • หากอุจจาระเป็น สีเขียวเข้ม อาจจะหมายความว่า อาหารได้ไหลผ่านระบบทางเดินอาหารเร็วเกินไป (เช่นเวลาท้องร่วง) จนน้ำดียังไม่ได้มีปฏิกิริยากับ เอนไซม์และ ยังไม่ได้เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นน้ำตาล หรือ คุณได้ทานผักสีเขียวในปริมาณมาก หรือทานอาหารเสริมธาตุเหล็ก

  • หากอุจจาระเป็น สีขาว หรือ สีอ่อนมากๆ อาจจะหมายความว่า - อุจจาระไม่มีน้ำดี ซึ่งอาจจะหมายความว่ารูทางออกของถุงน้ำดีมีอะไรไปอุดไว้ - คุณอาจจะทานยาบางตัวที่มี bismuth subslicylate มากเกินไปซึ่งยากลุ่มนี้จะพบได้มากในยาแก้ท้องร่วง

  • หากอุจจาระเป็น สีเหลือง มีน้ำมันและ มีกลิ่นเหม็นมาก อาจจะหมายความว่า อุจจาระมีไขมันมากเกินไป ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับปัญหาในระบบดูดซึมสารอาหารและควรจะพบแพทย์

  • หากอุจจาระเป็น สีดำ อาจจะหมายความว่า มีเลือดไหลในอวัยวะทางเดินอาหารช่วงบน เช่น กระเพาะ หรือ คุณทานอาหารเสริมธาติเหล็ก หรือ ทาน black licorice เข้าไป

  • หากอุจจาระเป็น สีแดงสด อาจจะหมายความว่า มีเลือดไหลในอวัยวะทางเดินอาหารช่วงล่าง เช่นลำไส้ใหญ่ เป็นโรคริดสีดวงทวาร หรือ คุณได้ทานอาหารที่มีสีแดงเช่น แครนเบอรี่ บีทส์ น้ำมะเขือเทศ หรือเยลลี่สีแดง

นอกจากนี้
- ถ้าอุจจาระเป็น สีน้ำตาลดำ ลักษณะหนืดเหนียว จมน้ำ แสดงว่าคุณทานเนื้อสัตว์มาก
- ถ้าคุณกินผักมาก อุจจาระจะเป็น สีเขียวขี้ม้า
- ถ้าคุณกินมะละกอ อุจจาระก็จะออก สีแดงๆ
- ถ้าคุณกินธัญพืชและข้าวซ้อมมือมาก อุจจาระจะออก สีน้ำตาลอ่อนและลอยน้ำได้
- ถ้าถ่ายแล้วแสบก้น แสดงว่าคุณกินพริกมากเกินไป
- ถ้ามีคราบไขมันลอย ให้สำรวจตัวเองว่าคุณกินอาหารมันเกินไปหรือเปล่า
- ถ้า อุจจาระยังมีชิ้นส่วนที่บ่งบอกได้ว่ากินอะไรเข้าไป เช่น เศษมะเขือเทศ ข้าวฟ่างลอยเป็นเมล็ด ข้าวโพดที่ยังดูเป็นข้าวโพด แสดงว่าคุณน่าจะเคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้น















รสชาติฉี่ของคน

ไม่ว่าใครจะเกิดมากินเพื่ออยู่หรือ อยู่เพื่อกิน”  แต่ทุกคนต้องขับถ่ายออกมา มีทั้งการปัสสาวะและอุจจาระ
              สำหรับการปัสสาวะและอุจจาระของคน ที่เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ สิ่งที่หลายๆคนรังเกียจทั้งๆที่เป็นคนขับถ่ายออกมาเองนั้น มันสามารถบอกสุขลักษณะและสะท้อนปัญหาการกินของคนๆนั้นได้โดยทาง ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติจ.นครนายก ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ ผ่านเอกสาร ปัสสาวะและอุจจาระวิทยาดังนี้
              โดยปัสสาวะวิทยา ระบุว่า รสชาติฉี่ของคน สามารถเป็นเครื่องบ่งชี้การเป็นโรคของอวัยวะในได้ โดย
  • ฉี่รสชาติเค็ม บ่งชี้ถึงการเป็นโรคไต
  • รสขมบ่งชี้ถึงการเป็นโรคหัวใจ
  • รสเปรี้ยวบ่งชี้การเป็นโรคตับ
  • รสหวาน บ่งชี้การเป็นโรคที่ตับอ่อน
  • รสฝาดหรือเฝื่อนบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อบกพร่อง
  • และรสกลมกล่อมซึ่งไม่ได้หมายถึงรสอร่อย หากแต่หมายถึงการผสมทุกรสกัน ทั้ง เค็ม หวาน ขม เปรี้ยว ฝาดเฝื่อน นั่นหมายถึง การบกพร่องของอวัยวะทุกส่วน
      
       ส่วนปัสสาวะที่ดี จะมีรสเหมือนน้ำเปล่า หรือรสเหมือนน้ำชา
      
       ขณะที่เรื่องของอุจจาระวิทยานั้น สามารถสะท้อนปัญหาในเรื่องการกินออกมาได้อย่างน่าคิด โดยอุจจาระของคนเรานั้น มี 7 แบบ ได้แก่
      
       1. เป็นขี้แพะก้อนเล็กและแข็งมาก
       2. เป็นก้อนแข็งเหมือนกระสุนขนาดใหญ่
       3. เป็นแท่งเหมือนไส้กรอก ผิวมีรอยแตก
       4. เป็นแท่งยาว นิ่ม ผิวเรียบ ส่วนปลายแหลมเหมือนหางงู
       5. นิ่มมากแต่คงรูปได้
       6. เหลว ไม่คงรูปร่าง
       7. เป็นน้ำ
      
       ทั้งนี้ศูนย์ภูมิรักษ์ได้ระบุว่าอุจจาระแบบที่ 4 แสดงถึงสุขภาพที่ดีที่สุดของคนเรา
      
       ด้านสีของอุจจาระก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมการกินได้ โดยศูนย์ภูมิรักษ์แบ่งสีของอึหรืออุจจาระเป็น 4 ลำดับ คือ
      
       1.ดำ แสดงผลว่าอาจมีเลือดออกในกระเพราะหรือลำไส้
       2. น้ำตาล แสดงผลว่ากินเนื้อมากกว่าผักผลไม้
       3 น้ำตาลอมเหลือง แสดงผลว่ากินเนื้อสมดุลกับผัก ผลไม้
       4 เขียว แสดงผลว่ากินผักสดและผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์
      
       ทั้งนี้ลำดับอุจจาระที่ถือว่าร่างกายไม่สะสมพิษ คือ ลำดับที่ 3 และ 4
      
       ส่วนความรู้สึกในการขับถ่ายที่ดี ทางอุจจาระวิทยาได้ให้ข้อมูลว่ามีดังนี้
      
       1. เกิดความรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระเป็นเวลา
       2. ไม่ต้องเบ่งจนหน้าดำหน้าแดง
       3. อุจจาระจะขับออก แบบลื่นไหลไม่สะดุด
       4. หลังถ่ายอุจจาระแล้วรู้สึกสบาย
              และนั่นคือปัสสาวะและอุจจาระวิทยาที่สะท้อนถึงเรื่องสุขภาพและปัญหาการกิน ซึ่งผู้สนใจสามารถพิสูจน์โรคจากฉี่คงต้องกลั้นใจหรือทำใจลำบากหน่อย เพราะเรื่องรสชาติของฉี่ถือเป็นเรื่องที่ยากต่อการพิสูจน์ของคนจำนวนมาก ส่วนใครที่อยากรู้สุขภาพจากอึก็สามารถพิสูจน์สีดูกันได้

เลือด...ของเหลงมหัศจรรย์แห่งชีวิต

เรายังอยู่กันที่รายการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเทคนิคการแพทย์ เพื่อบ่งชี้สภาวะการทำงานของตับ (Liver function test ) วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ 2 รายการสุดท้าย คือ Total billirubin และ Direct billrubin ซึ่งมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับภาวะที่เรียกว่า ตัวเหลือง ตาเหลืองกันอย่างไร

            คำว่า บิลิรูบิน (Billirubin)” เป็นสารสีเหลืองในน้ำดี บิลิรูบินเกิดขึ้นจากการสลายตัวขององค์ประกอบบางอย่างในเม็ดเลือดแดง โดยปกติเม็ดเลือดแดงจะมีอายุขัยประมาณ  120 วัน เมื่อหมดอายุจะถูกทำลายโดยม้าม ทำให้เกิดการสลายส่วนประกอบที่สำคัญที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ที่อยู่ภายในเม็ดเลือดแดง โดยส่วนของโปรตีนจะถูกสลายเป็นกรดอะมิโนเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ในร่างกาย และเหลืออีกส่วนที่เรียกว่า ฮีม (Heme) ซึ่งจะละลายน้ำไม่ได้ จึงต้องจับกับโปรตีนอัลบูมิน (ที่กล่าวถึงไว้ในฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2554) เพื่อขนส่งไปในกระแสเลือดไปยังตับ

            ในช่วงก่อนที่จะไปถึงตับ จะเรียกบิลิรูบินชนิดนี้ว่า Indirect billirubin และเมื่อไปถึงตับ จะมีกระบวนการในการจับกรดกลูคูโรนิก (Glucuronic acid) ทำให้มีคุณสมบัติในการละลายน้ำได้ดีและมีสีเหลือง ในขั้นตอนนี้ จึงเรียกใหม่ว่าDirect billirubin หรือบางห้องปฏิบัติการอาจใช้คำว่า Conjugated billirubin แทนก็ได้ หลังจากนั้น จะมีการขับออกทางน้ำดี เข้าสู่ลำไส้เล็กและขับออกทางลำไส้ใหญ่ปนกับกากอาหารต่อไป ดังนั้น หากมีความปกติเกิดขึ้นที่ตับหรือท่อทางเดินน้ำดี ทำให้มีการเอ่อท้นเข้าสู่กระแสเลือดและจะถูกขับออกทางไตในรูปของปัสสาวะ ซึ่งหากมีการเจาะเลือดตรวจรายการDirect billirubin ก็จะพบว่ามีค่าสูงขึ้นได้ อีกทั้งหากเกิดกรณีที่มีการแตกของเม็ดเลือดแดงเป็นจำนวนมากจากโรคหรือพยาธิสภาพบางอย่าง ก็ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดการคั่งของบิลิรูบิน ทั้งในส่วนที่เป็น Indirect billirubin และ Direct billirubin ทำให้เกิดผลรวมที่เรียกว่า Total billirubin ปริมาณมากในกระแสเลือดและไปสะสมที่บริเวณผิวหนังและตาขาว ทำให้ลักษณะอาการที่เรียกว่า ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง หรือเรียกว่า ดีซ่าน (Jaundice)” นั่นเอง

            ท่านผู้อ่านคงจะสังเกตเห็นว่า ในใบส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการจะมีเพียง 2 รายการ คือ Total billirubin และDirect billirubin ซึ่งจะไม่มีการตรวจค่า Indirect billirubin ที่เป็นค่าจริง แต่หากต้องการทราบค่านี้ จะอาศัยการคำนวณโดยนำค่า Total billirubin มาหักลบด้วยค่า Direct billirubin แทน สำหรับค่าปกติของ Total billirubin  จะเท่ากับ 0.5-1.2 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร (ในใบรายงานผลจะเรียกว่า มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร; mg/dl) ในขณะที่ค่าของ Total billirubin จะอยู่ระหว่าง 0.1-0.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

ค่า Total billirubin ที่สูงกว่าปกติ อาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของตับ เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมีการติดเชื้อ ความผิดปกติในการทำงานของไต สภาวะที่มีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ รวมไปถึงในกรณีที่มีตัวเหลืองตาเหลืองในเด็กทารกแรกเกิด เนื่องจากตับยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากขาดเอนไซม์ที่ช่วยในการเปลี่ยน Indirect billirubin ให้เป็น Direct billirubin ได้ดีพอจึงจะเห็นว่าต้องมีการนำทารกไปเข้าตู้เพื่อส่องไฟ เพื่อให้แสงช่วยในการทำปฏิกิริยาให้บิลิรูบินเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่ละลายน้ำได้ดีขึ้น เพื่อให้สามารถขับออกนอกร่างกายต่อไป

สำหรับการที่ค่า Direct billirubin สูงกว่าปกตินั้นอาจเป็นไปได้จากการมีก้อนนิ่วในถุงน้ำดี หรือการเกิดมะเร็งที่ตับ ที่มีผลทำให้ท่อทางเดินน้ำดีเกิดสภาวะอุดตัน ทำให้ไม่สามารถขับออกได้ จึงเอ่อท้นเข้าสู่กระแสเลือด

หวังว่าท่านผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาในคอลัมน์นี้มาโดยตลอด จะสามารถใช้ความรู้ต่างๆเหล่านี้ ในการรู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะในร่างกาย โดยสามารถใช้ผลการตรวจเลือดเป็นเสมือนลายแทงที่บ่งชี้สถานะทางสุขภาพของทุกท่าน อันจะนำไปสู่การดูแลและสร้างเสริมสุขภาพของพวกเราให้ดีไปได้โดยตลอดนะครับ

แหล่งข้อมูล:

Hospital & Healthcare.  ปีที่ 5 ฉบับที่ 43 เดือนเมษายน 2554: หน้า 4.

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

สูตรผสมผสาน "ล้างพิษตับ" เยอรมัน ไต้หวัน และไทย ให้มีประสิทธิภาพ (ตอนที่ 4) : เทคนิคการดื่มน้ำมันมะกอก


ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
      
       แม้ว่าสูตรล้างพิษตับในต่างประเทศอาจจะมีความแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันแทบทุกประการคือขั้นตอนการล้างพิษตับทั้งในเยอรมัน ไต้หวัน และประเทศไทยต่างก็ใช้น้ำมันมะกอกชนิดบีบเย็นกันทั้งสิ้น
      
        และข้อที่เหมือนกันประการถัดมาคือ ทั้ง 3 ประเทศต่างก็ดื่มน้ำมันมะกอกตอนเวลา 22.00 น.เหมือนกัน จะมีเพิ่มขึ้นมาหน่อยก็ตรงที่ไต้หวันมีการแบ่งดื่ม 2 รอบ รอบแรกดื่มตอน 22.00 น. รอบที่สองดื่มตอน 8.00 น.
      
        น้ำมันมะกอก ที่จะใช้นั้นต้องเป็นแบบบริสุทธิ์บีบเย็น (Cold Press) หรือที่เรียกว่า Pure Extra Virgin Olive Oil 
เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธ์ที่มีคุณค่าดีที่สุด สกัดโดยไม่ผ่านกระบวนการเคมีแต่อย่างใด เพียงแค่ใช้วีธีบีบเย็น มีสีเขียวหรือสีเหลืองทอง ให้กลิ่นและรสแรง ถือว่ามีคุณสมบัติดีที่สุดเหมาะสำหรับการดื่มเพื่อล่อให้น้ำดีออกมา
      
        น้ำมันมะกอก มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่งเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเป็นกรด โอเลอิค ถึงร้อยละ 71 เป็นกรดไขมันอิ่มตัวประมาณร้อยละ 16 และเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งร้อยละ 11
      
        น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันชนิดที่ทนทานต่อกระเพาะได้มากที่สุด เนื่องจากมีกรดโอเลอิคอยู่ในปริมาณสูง จึงมีผลในการช่วยป้องกันโรคกระเพาะอาหารอักเสบและอาการอักเสบที่กระเพาะและลำไส้ตอนต้น ช่วยลดแผลในกระเพาะและลำไส้ได้
       น้ำมันมะกอกยังมีประโยชน์ต่อระบบน้ำดี และยังเป็นยาระบายอ่อนๆอีกด้วย
      
        น้ำมันมะกอก ช่วยภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว (arteriosclerosis) ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย เส้นเลือดในสมองแตก และยังสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง ช่วยการดูดซึมแร่ธาตและแคลเซียมได้ดีทำให้ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ และยังช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก) เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนี้ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และหากนำมาทาที่ผิวหนังวิตามินอีในนั้นมะกอกก็จะช่วยทำให้ผิวหนังก็จะทำให้มีความยืดหยุ่นลดริ้วรอยเหี่ยวย่น อีกทั้งยังช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหารภายในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ส่งผลทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง
      
        สูตรของ อันเดรียส์ มอริสต์ ชาวเยอรมันดื่มน้ำมันมะกอกเวลา 22.00 น. รอบเดียว โดยดื่มปริมาณน้ำมันมะกอก 125 ซีซี ผสมกับน้ำผลไม้ ซึ่งใช้ น้ำมะนาวและน้ำส้มผสมกัน หรือ ใช้เกรพฟรุ๊ต ในประมาณ 187.5 ซีซี ปิดฝาให้แน่น แล้วเขย่าแรงๆ 20 ครั้ง แล้วดื่มให้หมดภายใน 5 นาที หลังจากนั้นให้นอนนิ่งๆ ตะแคงขวาหรือยกหัวสูงประมาณอย่างน้อย 20 นาที
      
        สูตรของไต้หวัน ดื่มน้ำมันมะกอก 2 รอบ โดยดื่มรอบแรกเวลา 22.00 น. ด้วยปริมาณน้ำมันมะกอก 120 ซีซี ผสมกับน้ำที่ผสมกับผงแอปเปิ้ล 1ซองผสมน้ำเปล่าในปริมาณ 120 ซีซี และนอนตะแคงขวาหรือยกหัวสูงทันทีต่ออีก 40 นาที ถึง 1 ชั่วโมง และดื่มรอบที่สองในเวลา 8.00 น.ของเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยการดื่มน้ำมันมะกอก 80 ซีซี ผสมกับผงแอบเปิ้ล 1 ซองผสมน้ำเป่าในปริมาณ 120 ซีซี และนอนตะแคงขวาหรือยกหัวสูงต่ออีก 40 นาที
      
        สูตรของไทย (ตามสูตรของ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ) ดื่มรอบเดียวคือดื่มในเวลา 22.00 น. โดยดื่มน้ำมันมะกอก 150 ซีซี ผสมกับน้ำมะนาว 150 ซีซี
      
        สรุปก็คือใน 3 สูตรนี้ ของประเทศไทยดื่มน้ำมันมะกอกมากที่สุดถึง 150 ซีซี แต่ถ้านับการดื่มรวมทุกแก้วในการล้างพิษตับ 1 รอบ ของไต้หวันดื่มมากที่สุดถึง 200 ซีซี แต่ถ้านับปริมาณแต่ละแก้ว ต้องถือว่าทั้งที่ไต้หวันและเยอรมันดื่มในปริมาณใกล้เคียงกันคือมีน้ำมันมะกอกประมาณ 120 - 125 ซีซี เท่านั้น ส่วนของประเทศไทยดื่มในปริมาณมากสุดในแก้วเดียวถึง 150 ซีซี จะว่าไปแล้วดื่มมากกว่าสูตรชาวเยอรมันที่ใช้กับฝรั่งเสียอีก
      
        เพราะการดื่มน้ำมันมะกอก ในการล้างพิษตับไม่ใช่การดื่มเพื่อเข้าไปล้างในตับหรือถุงน้ำดี แต่เป็นการล่อน้ำดีออกมาหลั่งเพื่อช่วยย่อยน้ำมันมะกอกเท่านั้น ดังนั้นเพียงแค่เริ่มต้นดื่มน้ำมันมะกอกท่อน้ำดีก็จะเริ่มขยายตัวแล้ว ยิ่งเมื่อดื่มน้ำผลไม้รสเปรี้ยว ไม่ว่า แอปเปิ้ล มะนาว ส้ม เกรพฟรุ๊ต ก็ล้วนแล้วแต่ออกฤทธิ์เป็นกรดทั้งสิ้นก่อนเกิดการย่อยสลายหลังจากย่อยสลายแล้วจึงออกฤทธิ์เป็นด่าง (อ้างอิงปฏิวัติสุขภาพด้วยธรรมชาติบำบัด กิน-ดื่มด่าง ล้างพิษตับ เล่ม1) ดังนั้นเมื่อดื่มน้ำผลไม้เหล่านี้ผสมกับน้ำมันมะกอก ร่างกายจะปรับสภาพความเป็นด่างด้วยการหลั่งน้ำดีซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างประมาณ pH 7.5 - 8.8 จึงหลั่งออกมาเพื่อลดความเป็นกรดจากน้ำผลไม้รสเปรี้ยว และช่วยปรับสภาพแวดล้อมเพื่อให้ตับอ่อนหลั่งเอนไซม์ไลเปสเพื่อย่อยน้ำมันมะกอกนั่นเอง
ภาพที่ 1 สูตรผสมการดื่มน้ำมันมะกอก 100 ซีซี ผสม น้ำมะนาว 50 ซีซี น้ำส้ม 50 ซีซี เอามาผสมรวมกัน 200 ซีซี แล้วดื่มในเวลา 22.00 น.
       ในความเห็นของผมแล้วการดื่มน้ำมันมะกอกต้องดูว่าแต่ละคนเหมาะจำนวนเท่าไหร่ ถ้าเป็นคนตัวใหญ่การดื่มน้ำมันมะกอก 150 ซีซี อาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าทั่วไปเมื่อเทียบกับชาวเยอรมันซึ่งเป็นฝรั่งและตัวสูงใหญ่กว่าไทยดื่มในปริมาณ 125 ซีซี โดยเฉลี่ยแล้ว ก็จะไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนไทยซึ่งตัวเล็กว่าจะดื่มในปริมาณ 100 ซีซี แต่ถ้าคนที่มีภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ หรือ ธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำแฝงก็อาจดื่มน้ำมันมะกอกได้เพียงแค่ 75 ซีซี ก็เพียงพอแล้ว เพราะคนที่มีอาการดังกล่าวมีการใช้พลังงานแปลงไขมันออกมาเป็นฮอร์โมนและน้ำดีได้น้อย ดังนั้นการดื่มไม่ให้มากเกินไปจะปลอดภัยมากกว่า และสำหรับผู้ที่สูงวัยมากๆกำลังขับน้อย ก็อาจดื่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยเพียง 50 ซีซี แล้วทยอยดื่ม 4 วันติดต่อกันก็ได้
      
        ส่วนน้ำผลไม้ที่ผสมในน้ำมันมะกอกก็ไม่จำเป็นต้องเป็นมะนาวอย่างเดียว เพราะอาจทำให้ดื่มยากเพราะบาดคอและกลิ่นแรงมาก ดังนั้นขอให้เป็นผลไม้รสเปรี้ยวก็ถือเป็นอันใช้ได้ เช่น น้ำส้มผสมกับน้ำมะนาวอย่างละครึ่งๆ , น้ำแอปเปิ้ล, เกรพฟรุ๊ต และหากบาดคอมากอาจตบท้ายด้วยการจิบน้ำมะนาว + น้ำส้มผสมน้ำผึ้งใส่เกลือเล็กน้อย แล้วบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าตามอีกครั้ง
      
        แม้น้ำมันมะกอกจะเป็นน้ำมันที่มีคุณสมบัติที่ดีที่สุดสำหรับการล้างพิษตับ แต่บางคนก็อาจจะแพ้น้ำมันมะกอก หรือไม่สามารถที่จะดื่มได้ ดังนั้น อันเดรียส์ มอริสต์ ผู้ทรงอิทธิพลในการล้างพิษตับชาวเยอรมัน ได้เสนอทางเลือกที่จะใช้น้ำมันประเภทอื่น ได้แก่ น้ำมันแมคาดาเมีย น้ำมันเมล็ดองุ่นบีบเย็น น้ำมันทานตะวัน เป็นต้น ห้ามใช้น้ำมัน แคนโนลา, น้ำมันถั่วเหลือง หรือน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี
       
        เพียงเราเข้าใจถึงหลักการในการล้างพิษตับมา 4 ตอนข้างต้นนี้แล้ว เราก็จะสามารถปรับปรุงและประยุกต์ในการล้างพิษตับให้เหมาะกับตัวเอง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.manager.co.th