วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

4 วิธีแก้อาการหลง ๆ ลืม ๆ


       บางครั้งคนเราทำงานหนักมากเกินไป หรือายุที่เพิ่มมากขึ้น อาจทำให้หลงๆ ลืมๆ กันไปบ้าง
 แล้วมีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยทำให้บรรเทาอาการเหล่านี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ 4 วิธี ที่คุณสามารถทำ
ได้ตั้งแต่วันนี้เลย
     
        วิธีแรกโฟกัสสายตา โดยวิธีการคือ ให้ฝึกนั่งจ้องวัตถุ หรือ เหตุการณ์ตรงหน้า จดจำ
รายละเอียดให้มากที่สุด นานประมาณ 3 นาที จากนั้น ละสายตา แล้ววาดสิ่งที่เห็นบนกระดาษ
 เมื่อเสร็จตรวจดูว่ามีสิ่งใดตกหล่นไปหรือไม่ ฝึกสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาความจำระยะสั้น
บริหารสมอง และเสริมประสิทธิภาพความจำด้านสายตา เช่น เอาสิ่งของมาซัก10 ชิ้น
แล้วห่อผ้าไว้ แล้วเปิดออกมาซัก10 วินาที แล้วพูดหรือเขียนออกมา
     
        วิธีที่ 2 รับประทานอาหารที่ช่วยในเรื่องความจำ แนะนำให้เป็นอาหารที่อุดม
วิตามินซี, อี และเบต้าแคโรทีน โดยเฉพาะส้ม องุ่น เบอร์รี ผักสีเขียว ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมอง
จากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม ทั้งนี้ ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า ผู้บริโภค
วิตามินซีสูง มีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุดด้วย
     
        วิธีที่ 3 การทำกิจกรรมที่ช่วยให้เรามีทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ เช่นกิจกรรมที่ท้าทาย
ความคิด เมื่ออายุเริ่มเข้าเลขสาม สมองจะเริ่มทำงานช้าลง ดังนั้น ควรหางานอดิเรกยามว่าง
ที่สนุกสนานทำ เช่น เต้นแทงโก้ เรียนภาษาใหม่ ต่อจิ๊กซอว์ เกมส์ปริศนาอักษรไขว้
เล่นปิงปอง เป็นต้น ช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของสมอง และความจำได้ดี
     
        วิธีสุดท้าย คือการนอนหลับพักผ่อนให้ เพียงพอ และกินอาหารให้ครบ 5 หมู่
 เวลาในการนอนอย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
 เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้ และความจำ และรับประทาน
อาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสมอง

ที่มา www.manager.co.th

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

20 ผักผลไม้ที่ล้างพิษในร่างกายได้






คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่า”อาหาร”เป็นยาที่วิเศษที่สุด เพราะเป็นแหล่งรวมของ
สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ใช่ว่าต้องเป็นอาหารที่มีราคาแพงอย่างเป๋าฮื้อ หูฉลาม
รังนก หรือของหายากอย่างดีหมีเท่านั้น ถึงจะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายได้ เพราะจาก
การศึกษาแล้วพบว่าอาหารที่เราหาได้ตามท้องตลาดในชีวิตประจำวัน
ก็มีประโยชน์ในตัวไม่ใช่น้อย

ที่สำคัญอาหารเหล่านี้ยังช่วยล้างพิษให้แก่อวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง
ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษต่างๆที่
สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ สารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร
สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น

คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง

เริ่มจากลำดับที่ 1. สาหร่าย พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์
แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่าย
สามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ
จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้
ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้
ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย
นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

2. หัวหอม ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการ
ก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น
ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือ
ช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

3. มะนาว เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสด
เมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น
แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้
และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

4. เมล็ดแฟลกซ์ ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์
ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น

5. กระเจี๊ยบ น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจาก
ระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน
หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
และไวรัสเหล่านั้นได้

6. ทับทิม ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษา
อาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในผลทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกัน
กับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการ
อักเสบ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลด
อาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

7. พืชตระกูลถั่ว (เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่ว
เป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจ
ด้วยพืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้
ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกัน
การเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

8. ขึ้นฉ่าย ถือว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต
สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจาก
ขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบ
ไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือ
ผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

9. แครอท เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene )
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจาก
สารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสง
แดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบ
ทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น

10. มะเขือพวง คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ
และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกิน
มะเขือเป็นหลักแต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือก
กินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวง
เป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย
ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบ
ทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

11. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต เพราะเป็นผลไม้รสชาติดีจึงได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้า
ของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับ
คอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด
นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย
ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหาร
และมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษ
ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

12. กระเทียม จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาด
ร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร
และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความ
ยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดิน
หายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่
มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

13. บลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอด
อาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง
สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อใน
ทางเดินปัสสาวะ

14. กะหล่ำ เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับ
ขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความ
สะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูล
กะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาด
ร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย
และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

15. บีตรูต ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล
( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อ
โรค ทำความสะอาดเลือด ตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจน
ได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูต
ช่วยปรับระดับกรด-ด่างในเลือดให้สมดุลด้วย

16. อะโวคาโด อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จาก
ตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน(Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอล
และป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้
เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก
ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกิน
อาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อย
กว่า 30 เปอร์เซ็นต์

17. ตำลึง ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืด
ตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็ม
ไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

18. แอปเปิ้ล ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอล
และโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือ
เหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์
ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิล
ช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรน
ในผู้ใหญ่ได้

19. อัลมอนด์ เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน
แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์
นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูง
ก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ
หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า
ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia )จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด
เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

20. กล้วย มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกัน
ก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับ
ของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว
หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก
ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก :: Good Look Good Health
http://www.dietathome.biz/pt

อัลมอนด์ช่วยล้างพิษได้อย่างไร

อัลมอนด์ช่วยล้างพิษได้อย่างไร ในอัลมอนด์มีใยอาหารสูง และมีแคลเซียมและโปรตีนที่ส่งผลดีต่อร่างกาย
 แม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรรับประทานอัลมอนด์ด้วย


นอกจากนี้ อัลมอนด์ยังมีสรรพคุณในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยที่ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูง
จะส่งผลให้เกิดอาการที่เรียกว่า Hyperglycemia จะทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออกและไม่สามารถ
ควบคุมตัวเองได้ และหากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำในระดับที่เรียกว่า Hypoglycemia จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด
 เป็นลม ไม่มีแรง ใจสั่น ได้

มีผลการวิจัยจากสถาบันชั้นนำทั้งในยุโรปและอเมริกาพบว่า การรับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 1หยิบมือ 
สามารถช่วยลดไขมันเลว หรือ LDL ได้ถึง 4.4% และถ้ารับประทาน 2หยิบมือต่อวัน จะช่วยลด LDL ได้ถึง 
9.4% อีกทั้งยังทำให้ระดับของไขมันดี หรือ HDL เพิ่มขึ้นอีกด้วย

นอกจากอัลมอนด์จะมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว อัลมอนด์ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินบี วิตามินอี 
และโอเมก้า3 ซึ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนังและเส้นผม อีกทั้งยังช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย
 และที่สำคัญไฟเบอร์ที่ได้จากอัลมอนด์ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

ที่มา http://www.bloggang.com/

แกว่งแขน...กายบริหารแบบง่ายๆ ช่วยบำบัดโรค


 นับเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้เรามีสุขภาพกายและใจดี และประการสำคัญซึ่งเป็น
ยอดปรารถนาของผู้หญิงก็คือ ช่วยให้ทรวดทรงได้สัดส่วน หากแต่เชื่อได้เลยว่าทุกวันนี้คุณสาวๆ 
คงไม่ค่อยจะมีเวลาไปออกกำลังกายนัก หรือไม่ก็อาจจะทำงานติดพันจนพลอยขี้เกียจออกกำลังกาย
ไปเลย... คราวนี้เราเลยขอนำเสนอการบริหารกายพื้นฐานง่ายๆ ด้วยการแกว่งแขนซึ่งสามารถทำได้
ทุกที่ทุกเวลา แถมยังสามารถรักษาโรคได้ด้วย

วิธีกายบริหารด้วยการแกว่งแขนนี้ นำมาจากคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพระโพธิธรรม (ตั๊กม้อโจ้วซือ) 

ชื่อว่า คัมภีร์ ต๋า โม๋ อี้ จิน จิง ซึ่งนับเป็นวิธีออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพและขจัดโรคภัย ปฏิบัติ
ได้ง่าย แต่ให้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์! การแกว่งแขนนี้เป็นการแกว่งให้เลือดลมเดินได้สะดวก และ
ปรับสภาพเส้นเอ็น โดยจะช่วยรักษาโรคความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ หัวใจ ประสาท โรคจิต ไต ตับ 
อัมพาต เนื้องอก มะเร็ง นอนไม่หลับ โรคโลหิต ถึงโรคเรื้อรังต่าง ๆ แทบทุกโรคที่เกิดจากการเต้น
ของชีพจรไม่สม่ำเสมอ และเลือดลมที่เดินไม่สะดวกทั้งสิ้น

การแกว่งแขนจะทำให้การหมุนเวียนโลหิตดีขึ้นตามลำดับ และชีพจรก็จะเต้นได้สม่ำเสมอ นับเป็น

การออกกำลังกายที่ง่ายมากทั้งยังให้ผลเกินคาด เพียงแต่ผู้ปฏิบัติต้องมีความขยันและอดทนปฏิบัติ
อย่างสม่ำเสมอ สามารถทำได้ทุกที่ หากแต่ถ้าจะทำในที่โล่งได้ก็จะดีมากเพราะจะได้อากาศบริสุทธิ์
 ยิ่งยืนบนหญ้าก็จะได้แร่ธาตุจากดินจากน้ำค้างด้วย มาดูวิธีการปฏิบัติกันเลยค่ะ...


 1. ยืนตรง เท้าสองข้างแยกออกจากกันให้มีระยะห่างเท่ากับหัวไหล่
 2. ปล่อยมือสองข้างลงตามธรรมชาติ อย่าเกร็ง ให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง
 3. หดท้องน้อยเข้า เอวตั้งตรง เหยียดหลัง ผ่อนคลาย กระดูกลำคอ ศีรษะ และปาก ผ่อนคลายตาม

ธรรมชาติ
 4. จิกปลายนิ้วเท้ายึดเกาะพื้น ส้นเท้าออกแรงเหยียบลงบนพื้นให้แน่น ให้แรงจนกล้ามเนื้อโคนเท้า 

โคนขาและท้องตึง ๆ เป็นใช้ได้
 5. บั้นท้ายควรให้งอขึ้นเล็กน้อย ระหว่างบริหารต้องหดก้นหรือขมิบทวารหนัก คล้ายยกสูงให้หดเข้าไป

 ในลำไส้
 6. ตามองตรงไปจุดใดจุดหนึ่งจุดเดียว สลัดความคิดฟุ้งซ่าน กังวล ออกให้หมด ทำสมาธิให้รู้สึกอยู่ที่เท้า
 7. แกว่งแขนไปข้างหน้าเบาหน่อย ทำมุม 30 องศากับลำตัว แล้วแกว่งไปหลังแรงหน่อย ทำมุม 

60 องศากับลำตัว จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยง นับเป็น 1 ครั้ง โดยปล่อยน้ำหนักมือให้เหมือนลูกตุ้ม 
แกว่งแขนไป-มา โดยเริ่มจากทำวันละ 500 ถึง 1,000-2,000 ครั้ง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
เห็นไหมค่ะว่าสามารถทำได้ง่ายมาก แถมยังไม่ต้องเสียเวลาเตรียมตัวอะไรมากมาย ยังไงก็อย่าลืม
ลองนำไปปฏิบัติดูนะค่ะ ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายที่ไหน
 หรือจะสลับกับการออกกำลังกายแบบอื่น ๆ แก้เบื่อบ้างก็ได้


ที่มา ... lauriermybrand.com


Credit : http://variety.teenee.com/foodforbrain/53832.html

6 สมุนไพร “ลำไส้” ต้องการ


       6 สมุนไพร “ลำไส้” ต้องการ


     
        บางครั้งคนเรามักดูแลแต่ภายนอกร่างกาย และหลงลืมการดูแลสุขภาพภายในอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะกับระบบย่อยอาหารที่ต้องรับอาหารเข้าไปอยู่ทุกวี่วัน จนบางครั้งอาจเกิดความผิดปกติได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง จุกเสียด และอื่นๆ ดังนั้นหันมารับประทานอาหารที่ประกอบด้วย 6 สมุนไพร ดังต่อไปนี้ เพื่อช่วยป้องกันอาการไม่สบายในลำไส้ของเรากันจะดีกว่า
     
       1. ใบแมงลัก 
        น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักเป็นยาช่วยย่อยชั้นเซียน ลำไส้ใครไม่ค่อยทำงานจนท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ ลองชิมใบแมงลักสักสี่ห้าใบแล้วจะติดใจ นอกจากนั้นยังช่วยขับลมในลำไส้ อาหารไม่ย่อย อาการอึดอัด แน่นไม่สบายท้อง ให้นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม
     
       2. พริกสด
        ความเผ็ดซู่ซ่าของพริกคืออยากกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำลายออกมา จากนั้นเอนไซม์ของน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งให้อ่อนตัวลง กระเพราะกับลำไส้จะได้ไม่ต้องทำงานโหลดจนเกินไป
     
       3. หอมแดง 
        แค่กินหอมแดงอย่างเดียว ลำไส้คุณก็ยิ้มแล้ว เพราะเท่ากับซื้อหนึ่งได้ถึง สี่ ได้แก่สารฟลาโวนอยส์ ไกลโคไซต์ เพคติน และกลูโคคินิน 4 สารบำรุงลำไส้และช่วยย่อยและทำให้เจริญอาหาร คุ้มกว่านี้มีอีกไหม
     
       4. ใบกะเพรา 
        ถึงชื่อเสียงของกะเพราจะมืดมนไปมาก ตั้งแต่ผักกะเพราถูกตั้งชื่อว่าผักสิ้นคิด แต่สรรพคุณของมันยังแจ่มเหมือนเดิม โดยเฉพาะสรรพคุณในการขับน้ำดีในกระเพราะอาหารมาช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป นอกจากนั้นยังช่วยย่อยไขมัน ลดอาการจุกเสียด
     
       5. ตะไคร้ 
        ให้เคี้ยวกิน แต่กินยากเกินไปหน่อย แต่ถ้าทำเป็นชาตะไคร้ หรือซอยบางๆกินกับยำ คงไม่ลำบากมากเกินไปสำหรับคนรักสุขภาพ สรรพคุณของตะไคร้เริ่ดไม่แพ้ใบกระเพรา คือช่วยขับน้ำดีออกมาย่อยอาหารเหมือนกัน สวมถึงแก้ปวดกระเพาะอาการ และช่วยขับปัสสาวะ 
     
       6. กระเทียม 
        มีสูตรเด็ดเคล็ดลับสำหรับคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อยมาฝาก ให้เอากระเทียมมา 5 กลีบแล้วสับละเอียด กินทันทีหลังอาหาร กระเทียมจะช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารจอมขี้เกียจของคุณยอมย่อยอาหารมื้อนั้นแต่โดยดี ถ้ากินทุกวันไม่นานอาการอาหารไม่ย่อยก็จะหายไปเอง นอกจากนั้นยังช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อด้วย
     
       ขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิหมอชาวบ้าน

------------------------------------------------------
credit : www.manager.co.th

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน13 มิถุนายน 2556 20:48 น.

คำเตือน! จากหลักสูตรล้างพิษตับ (ฉบับที่ 2) : พิษประทุจาก“นมวัว”รุนแรงกว่าที่หลายคนคิด

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
      
       อ.แก่นฟ้า แสนเมือง แห่งศีรษะอโศก ในฐานะผู้ที่บุกเบิกหลักสูตรล้างพิษตับ ลำไส้ และถุงน้ำดี ได้เล่าให้ฟังถึงความรุนแรงเกี่ยวกับพิษประทุจาก “นมวัว”ก่อนที่จะมีหลักสูตรล้างพิษนี้ว่า
      
        คนจำนวนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงและเป็นวัยรุ่นที่มีประวัติการดื่มนมวัวต่างน้ำ เมื่อถึงจุดหนึ่งจะเป็นตุ่มพุพองขึ้นเต็มตัว!!! 

      
       “น้องฝ้ายหลานดาบน้อยก็เป็นทั้งตัวเพราะดื่มนมวัวมาก พอให้อดนมก็เกิดอาการพุพองทั้งตัว และใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่จะหายได้ เป็นการประทุทั้งตัวทั้งหัวและหู ทั้งๆที่ในเวลานั้นไม่ได้เข้าคอร์สล้างพิษ เพราะเกิดขึ้นมาสิบกว่าปีมาแล้ว”
      
       “ลูกดาบน้อยก็เป็นเหมือนกันเป็นไข้ทั้งพุพอง 10 เดือนกว่าจะหาย มีแผลหนองเป็นร้อยๆตุ่ม ต้องหยุดนม เพราะเมื่อก่อนดื่มนมแทนน้ำ”
      
       อ.แก่นฟ้า แสนเมือง เล่าให้ฟังอีกว่า “เจอหลายคนแล้วครับที่ดื่มนมอย่างนี้แล้วพุพอง ปัจจุบันยังมีแผลเป็นอยู่เลย ทุกวันนี้ผมจะแนะนำให้เด็กเลิกดื่มนมวัว” 
      
       ด้วยเหตุผลนี้เมื่อหลายปีก่อนชาวอโศก จึงได้ออกหนังสือมาเล่มหนึ่งชื่อ “คนไทยถูกหลอกให้ดื่มนม”
      
       ความจริงแล้วในนมมีแป้งชนิดหนึ่งชื่อ แลคโตส (Lactose) ซึ่งต้องใช้เอนไซม์ย่อยแป้งชื่อเอนไซม์แลคเตส (Lactase) ในการย่อย เพื่อทำให้แลคโตสแตกตัวเป็นน้ำตาลกลูโคส และน้ำตาลกาแลคโตส
      
       แต่ปัญหาคือสัตว์ทั่วไปจะมีอายุในการดื่มนมเพียง 1 - 2 ปี จะหย่านมจากแม่ และไปกินอาหารอย่างอื่นแทนตลอดชีวิต มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่เมื่อหย่านมจากแม่แล้ว ก็หันไปดื่มนมจากสัตว์อื่นอีกหลายสิบปี
      
       คนไทยและเอเชียส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 80 เมื่อเติบโตขึ้นก็จะหย่านมจากแม่เหมือนกันเมื่ออายุเกิน 1 – 2 ขวบ จึงทำให้มีเอนไซม์แลคเตสน้อยลงมากหรือแทบไม่มีเลย (เพราะสัตว์ทุกประเภทต่างก็มีขบวนการหย่านมวัว) อาการที่นมไม่ย่อยเพราะขาดเอนไซม์แลคเตสนี้เองก็จะทำให้เกิดอาการ ใน 4 ชั่วโมงหลังจากดื่มนมวัว คือ ปวดท้องแน่น ท้องอืด มีลมในลำไส้มาก และบางครั้งอาจท้องร่วงเพราะร่างกายพยายามจะขับสารพิษที่ไม่เหมาะกับร่างกายออก
      
       นายแพทย์ เอส.ซี. ทรูเลิฟ ในวารสาร British Medical Journal ในปี 1961 และงานของ ดี.โจเซฟ ซักคา ในวารสาร Annual of Allergy พฤษภาคม 1971 ระบุเอาไว้ชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของการดื่มนมกับการเกิดลำไส้อักเสบจากภาวะภูมิแพ้
      
       จากข้อมูลข้างต้นนี้ก็มีความสอดคล้องจากงานเก็บตัวอย่างของ ดร.ฮิโรมิ ชินย่า คุณหมอชาวญี่ปุ่น ซึ่งได้เก็บตัวอย่างด้วยการส่องกล้องในลำไส้ของคนกว่า 400,000 คน เพื่อดูความสัมพันธ์ของลำไส้กับสิ่งที่รับประทานและโรคที่ป่วยของแต่ละคน ดร.ฮิโรมิ ชินย่า และได้เผยแพร่ตัวอย่าคนที่ชอบดื่มนมวัวต่างน้ำนั้นมีลำไส้อักเสบซึ่งมีลักษณะต่างจากคนปกติ ดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 แสดงการสำรวจและส่องกล้องในลำไส้ของ ดร.ฮิโรมิ ชินย่า แพทย์ชาวญี่ปุ่น แสดงลำไส้ของคนปกติด้านซ้าย กับสภาพลำไส้อักเสบของคนที่ดื่มนมวัวต่างน้ำ
       แต่อาการที่แพ้แลคโตสในนมก็ยังดี เพราะเมื่อไม่ย่อย ท้องอืด หรือท้องร่วง ก็มักจะหยุดการดื่มนมวัวไป แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือแพ้เคซีนในนม ซึ่งความจริงแล้วมนุษย์สามารถดูดซึมโปรตีนในนม (Net Protein Utilization) ได้เพียงร้อยละ 82 และดูดซึมไม่ได้อีกร้อยละ 18 ซึ่งจะถูกแบคทีเรียย่อยสลายและทำให้เกิด Immune Complex หรือสารก่อภูมิแพ้ใหม่ๆ
      
       ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันจำนวนหนึ่งแก้ปัญหาของคนที่มีอาการแพ้นมวัว เช่น ผื่น หรือ ตุ่มขึ้นตามผิวหนัง ด้วยการให้กินยากดภูมิ หรือ หนักกว่านั้นคือทาหรือฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อกดอาการเหล่านั้นไม่ให้ร่างกายตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้เหล่านั้น โดยไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุแต่ประการใด

      
       ในทางธรรมชาติบำบัด เมื่อมีสารก่อภูมิแพ้เกิดขึ้นในร่างกาย ร่างกายจึงต้องพยายามขับสารพิษหรือสารแปลกปลอมเหล่านั้นออกจากร่างกายทางใดทางหนึ่ง ถ้าไม่ย่อยแลคโตสก็จะแสดงอาการไม่ย่อยด้วยการท้องอืด หรือ ท้องร่วง หรือหากไม่สามารถระบายออกด้วยการขับถ่ายได้หรือขับถ่ายไม่ทัน ก็จะแสดงออกด้วยการประทุทางผิวหนังให้เราได้เห็น เพื่อให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่
      
       แต่ถ้าเรามัวแต่กินยาหยุดอาการท้องเสีย หรือ ทา หรือ ฉีดยากดภูมิเพื่อหยุดผื่นคันโดยไม่หยุดพฤติกรรมการกิน สารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งที่ไม่ควรจะอยู่ในร่างกายเรานั้นก็จะอยู่ในร่างกายเราต่อไป ก็จะทำให้เราเป็นภูมิแพ้ไม่หายและต้องพึ่งพายากดภูมิตลอดเวลา และยาเหล่านั้นก็จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ ที่ต้องทำหน้าที่แบกรับในการเก็บสารพิษเหล่านั้นเอาไว้เอง จนรอถึงวันจุดระเบิดที่ตับไม่สามารถรับเอาไว้ได้จึงเกิดการประทุพิษเป็นผื่นทั่วร่างกายอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในหลายกรณี
      
       ดังนั้นผู้ที่มีประวัติดื่มนมวัวต่างน้ำ และมีอาการผื่นขึ้นตามผิวหนังแล้วใช้ยาทาหรือกดภูมิอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการกินนั้น จะต้องมีความระมัดระวังอย่างมากในการตัดสินใจที่จะล้างพิษตับ เพราะจะต้องให้ความสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและ ให้ความสำคัญกับการล้างลำไส้ให้สะอาด “ก่อน”ที่จะตัดสินใจเข้าสู่การล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอก

      
       เพราะสิ่งที่ผมได้พบนั้นพบว่าปัจจุบันมีผู้ที่ล้างพิษตับด้วยตัวเองบ้าง หรือไปล้างพิษตับตามศูนย์ล้างพิษตับบ้างก็ตามพบว่า ผู้ที่มีประวัติดื่มนมวัวต่างน้ำ และมีอาการผื่นขึ้นตามผิวหนังแล้วใช้ยาทาหรือกดภูมิอยู่ตลอดเวลาจำนวน 3 ราย หลังจากล้างพิษตับแล้วพบว่ามี ผื่นขึ้นเหมือนไฟลามทุ่งทั่วตัว โดยเฉพาะแขนขา ลำตัว ข้อพับ หู ศีรษะ ผิวหนังปริแตก มีน้ำเหลืองไหลจนพอกพูน ขาบวม ซึ่งมีตำแหน่งในการขึ้นผื่นใกล้เคียงกันอย่างมาก
รูปที่ 2 ผู้ที่มีประวัติดื่มนมวัวต่างน้ำมีผื่นขึ้นในบริเวณขาและมือหลังล้างพิษตับด้วยตัวเอง
      
รูปที่ 3 ผู้ที่มีประวัติดื่มนมวัวต่างน้ำ 2 รายมีผื่นขึ้นหลังล้างพิษตับในบริเวณขาในตำแหน่งใกล้เคียงกัน
      
รูปที่ 4 อีกรายหนึ่งผู้ที่มีประวัติดื่มนมวัวต่างน้ำและมีประวัติหลายๆวันขับถ่าย 1 ครั้ง มีพิษประทุถึงศีรษะหลังล้างพิษตับ 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งดื่มน้ำมันมะกอก 1-3 แก้ว รวม 6 แก้ว
       ที่น่าสนใจไปกว่านั้นในจำนวน 3 ราย มีรายหนึ่งไปพบแพทย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งได้ใช้วิธีขูดเอาเนื้อบริเวณดังกล่าวออกอย่างเจ็บปวดทรมานมาก โดยแพทย์ไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด ได้แต่บอกว่าเมื่อหายแพ้แล้วค่อยกลับมารักษาใหม่และให้ยารับประทาน (ซึ่งก็ไม่ได้หาย) อีกรายไปพบแพทย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งก็ได้รับการฉีดสเตรียรอยด์มาแล้วหลายรอบแต่ก็กลับพบว่าผิวดำคล้ำขึ้นและมีเหมือนก้อนไตแข็งเกิดขึ้นใต้ผิวหนังเหมือนเป็นฝี และก็เกิดอาการผื่นขึ้นใหม่ตลอดเวลา โดยที่แพทย์ในโรงพยาบาลก็ยังหาคำตอบในการรักษายังไม่ได้ ส่วนอีกรายหนึ่งเพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันมานี้หลังไปล้างพิษตับมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกดื่มน้ำมันมะกอกไป 1 แก้ว ครั้งที่สอง 3 แก้ว ครั้งที่สาม 2 แก้ว โดยในแต่ละครั้งพบว่าการประทุพิษกลับรุนแรงเสียยิ่งกว่าเดิม
      
        แม้ว่าจะมีรายแรกที่ไปล้างพิษตับด้วยตัวเองและเกิดอาการดังกล่าวเข้ามาขอคำปรึกษาจากผมจะเริ่มมีอาการดีขึ้นอย่างมาก หลังจากการผสมผสานในการรักษาโดยการประสานงานจาก หมอปาน (จิตรา ปลอดอักษร) และคุณจุ๊บ จากบ้านรัตนาราม 982 โดยการเน้นการล้างลำไส้ (ด้วยการดื่มเอนไซม์จากมะละกอเพื่อย่อยโปรตีน และการดื่มยาหม้อไทยที่เพื่อขับถ่ายของเสียในร่างกาย) ตลอดจนทาแผลด้วยน้ำเอนไซม์สลับกับน้ำมันมะรุมสลับกับการแช่น้ำปัสสาวะและตากแดด ควบคุมอาหารงดเนื้อสัตว์และของหวาน ตลอดจนใช้การคลายเส้นเพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือด แต่ถึงกระนั้นก็เห็นว่าการป้องกันดีกว่าการแก้ไข เพราะแม้จะแก้ไขให้ดีขึ้นได้แต่ก็ต้องใช้เวลาเยียวยารักษาด้วยแพทย์ทางเลือก อย่างน้อยประมาณ 1เดือนครึ่ง - 2 เดือน
      
        แม้จะข้อมูลข้างต้นอาจจะยังสรุปไม่ได้ถึงขั้นเป็นงานวิจัยและถือว่ามีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับผู้ที่ล้างพิษตับมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นรายที่เข้าอบรมในหลักสูตรทั่วประเทศ แต่เมื่อพบข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่มีปัญหาใกล้เคียงกันหลายคนแล้ว ก็จำเป็นต้องแจ้งย้ำเตือนเป็นฉบับที่ 2 ไปยังทุกท่านว่าการล้างพิษตับจำเป็นต้องมีข้อควรระวังดังต่อไปนี้
      
       
       1. การล้างพิษตับควรต้องมีผู้เชี่ยวชาญและแพทย์(แผนไทยหรือแพทย์แผน
       ปัจจุบัน) ที่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยล้างพิษตับมาก่อน จำเป็นต้องเข้าหลักสูตรเพื่อทำความเข้าใจอย่างละเอียด และจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้จริงเท่านั้น หากเป็นผู้ที่เข้าหลักสูตรแล้วไม่มีอาการจึงค่อยไปทำการล้างพิษด้วยตัวเองได้
      
       2. สำหรับคนที่มีประวัติดื่มนมวัวมากหรือผลิตภัณฑ์จากนมวัว และต้องทา/กิน/ฉีด
       ยา ประเภทกดภูมิมาก่อน จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับการล้างลำไส้ให้สะอาดเสียก่อน โดยจะต้องงดนมวัวมาอย่างน้อย 2-3 เดือน (และจะให้ดีควรงดดื่มนมวัวไปเลย) ควรงดเนื้อสัตว์ก่อนล้างลำไส้ 1 สัปดาห์ และคนที่นานๆวันจึงจะขับถ่าย 1 ครั้ง จำเป็นต้องปรับสมดุลให้การขับถ่ายได้เป็นปกติทุกวันเสียก่อน ไม่เช่นนั้นหากเร่งไปล้างพิษตับเหมือนคนปกติ พิษที่ออกมาจากตับหากมาเจอกับลำไส้ที่สกปรกเป็นคราบเหนียว (จากรูปที่ 1) จะทำให้พิษที่ออกมาจากตับที่ถูกขับออกมาพร้อมน้ำดีไม่สามารถสามารถขับถ่ายออกจากร่างกาย เพราะอาจติดกองอยู่ตามผนังลำไส้ แล้วทำให้ลำไส้ดูดสารพิษเหล่านั้นกลับเข้าไปตามกระแสเลือดจนประทุออกทางผิวหนังได้
      
       3. การสวนล้างลำไส้ (ดีท็อกซ์) เช้า-เย็น ต่ออีก 7 วันหลังล้างพิษตับ (และในช่วง
       เช้าควรทำก่อน 7.00 น.) ยังคงมีความจำเป็น เพราะพบว่าหลายคนไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ก็จะมีอาการพิษตกค้างประทุตามผิวหนังได้เช่นกัน
      
       4. สำหรับคนที่มีประวัติดื่มนมวัวมากหรือผลิตภัณฑ์จากนมวัว และต้องทา/กิน/ฉีด
       ยา ประเภทกดภูมิมาก่อน ไม่ควรดื่มน้ำมันมะกอกเกินกว่า 1 แก้วต่อครั้ง และจำเป็นต้องเว้นระยะห่างในการล้างพิษ 1 เดือนต่อครั้ง เพราะมิเช่นนั้นลำไส้ที่สกปรกเหนียวเป็นคราบอาจไม่มีความสามารถพอในการนำของเสียหรือพิษที่ออกมาจากตับได้ และทำให้เกิดการดูดกลับไปตามกระแสเลือดและเกิดการปะทุพิษตามร่างกายส่วนอื่นๆได้
      
        ความจริงแล้วนับตั้งแต่หลักสูตรล้างพิษตับได้เผยแพร่เป็นที่นิยมมากนั้น ก็ได้รับผลรายงานที่มีผลดีเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นข่าวดี แต่ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องค้นหาผู้ที่ไม่ได้ผลดีหรือได้รับผลข้างเคียงด้วย เพื่อที่จะได้นำไปเตือนคนที่จะล้างพิษด้วยตัวเองหรือส่งข้อมูลให้ผู้ที่จัดหลักสูตรล้างพิษได้มีความระมัดระวังมากขึ้น จึงทำให้การพัฒนาการล้างพิษนั้นเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีคุณภาพต่อไป 

       

ตามหาความจริง...อะไรกันแน่ที่ออกมาจากการล้างพิษตับ !?

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       ในคอร์สสุขภาพ 8 อ. (คอร์สล้างพิษตับ) ของชาวสันติอโศก ได้ใช้วิธีล้างพิษออกจากร่างกายด้วย “กรรม 7” คือ
       
        1. การล้างพิษจากช่องปากด้วยน้ำมันมะพร้าว (Oil pulling)
        2. การอดอาหาร (Diet)
        3. การสวนล้างลำไส้ทั้งระบบด้วยกากใยอาหาร (food fiber detoxification)
        4. การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว (Liver flush)
        5. การปรับสมดุลกรดด่างด้วยน้ำด่างขี้เถ้า pH 8.5
        6. การแช่เท้า
        7. พอกหน้า
       
        ภูมิปัญญาที่เกิดขึ้นในการล้างพิษในหลักสูตรนี้ในเวลานี้ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้แต่ในวงการแพทย์และพยาบาลจำนวนไม่น้อยก็มาเข้าหลักสูตรนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
       
        และอันที่จริงยังมีเรื่องที่มีความสำคัญและมาบูรณาการอยู่ในหลักสูตรนี้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนวดกดจุดคลายเส้น หรือการจัดกระดูกเพื่อการไหลเวียนเลือดที่ดี แต่เนื่องจากมีรายละเอียดค่อนข้างมากไม่เพียงพอที่จะอธิบายในบทความนี้หมดได้ จึงขออธิบายและตามหาความจริงใน 2 ส่วนสำคัญ อันได้แก่ การล้างลำไส้ และการล้างตับ
       
        สำหรับการล้างลำไส้นั้น เริ่มต้นด้วยการอดอาหาร เพื่อให้ลำไส้ได้พักเต็มที่จากการย่อยอาหาร แล้วใช้พลังงานที่เหลือในการขับของเสียออกจากลำไส้ให้ได้มากที่สุด
     
        การขับของเสียออกจาลำไส้ของหลักสูตรนี้ จึงให้ดื่มได้เฉพาะน้ำด่าง น้ำผลไม้ และสมุนไพรบางชนิดเพื่อในการขับมูกเมือก (Mucus) ซึ่งได้ดักจับสารพิษในลำไส้ให้ออกมาด้วย

       
        ปกติแล้วการสวนล้างลำไส้โดยใช้น้ำโดยใช้น้ำหรือสมุนไพรความจริงแล้วไม่ได้เรียกว่าดีท็อกซ์ แต่น่าจะตรงกับภาษาอังกฤษว่า อีนีมา (enema)มากกว่า และเป็นสิ่งที่ได้ทำกันมานานแล้วในหมู่แพทย์ทางเลือก แต่หลักสูตรนี้มีการล้างลำไส้ในระดับที่เข้มข้นกว่านั้น
       
        เพราะหลักสูตรล้างพิษนี้ได้ใช้สูตรอาหารที่เรียกว่า "ลิดท็อกซ์" ซึ่งก่อนหน้านี้มีองค์ประกอบของผงของพืชที่มีกายใยไฟเบอร์สูงที่เรียกว่าซิลเลียมถึง 50% เปลือกมะนาว 10% ผงขี้เหล็ก 10% ผงขมิ้น 10% ผงมะรุม 10% และอื่นๆอีก 10% จึงเป็นสูตรอาหารที่เน้นการดูดซับพิษในลำไส้เป็นหลัก
       
        สูตรข้างต้นนี้มีหลายวัตถุประสงค์ทั้งการพองตัวในลำไส้ ยาระบาย การดูดสารพิษ การปรับสมดุลในร่างกาย
     
        ในปัจจุบันมีการพัฒนา "ลิดท็อกซ์"สูตรอาหารไฟเบอร์นี้โดยการปรับเป็น ผงซิลเลียมผสมกับ เปลือกเม็ดมะขาม และผงข้าวกล้องงอก (กาบา) 
ซึ่งนอกจากจะได้คุณสมบัติการพองตัวของซิลเลียมแล้ว ยังได้คุณประโยชน์จากเปลือกเม็ดมะขามที่ช่วยขับลมในท้อง เป็นยาระบาย ต้านอนุมูลอิสระ ในขณะที่ผงข้างกล้องงอกก็ช่วยทำให้ร่างกายไม่อ่อนแรงเกินไปในระหว่างอดอาหารได้อีกด้วย
       
        และด้วยลักษณะการพองตัวของซิลเลียมในลิดท็อกซ์นี้เอง ทำให้เวลาถ่ายออกมาจะเป็นรูปลำไส้ขนาดยาวต่อเนื่องกัน ดังนั้นทางสันติอโศกจึงเห็นว่าไม่น่าจะนำผงเหล่านี้มาบรรจุในแคปซูล เพราะแม้จะรับประทานง่ายกว่าแต่ก็ให้ผลในการล้างลำไส้ได้ไม่เท่ากับการผสมน้ำแล้วดื่ม เพราะแทนที่ผงซิลเลียมจะพองตัวเป็นรูปตามลำไส้ ก็กลับจะพองตัวเป็นจุดๆ ตามจำนวนเม็ดที่รับประทานเข้าไป ไม่เกาะกลุ่มพองตัวเหมือนการผสมน้ำแล้วดื่ม
       
        แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ได้มียาชนิดอื่นที่จะช่วยในการระบายพิษออกจากลำไส้ เพราะยาไทยหลายชนิดก็ยังมีประสิทธิภาพที่ระบายพิษออกได้ดี เช่น ยาชำระเมือกมัน (สูตรหมอปาน) หรือสูตรยาประเภทที่มีดีเกลือเป็นส่วนผสมอยู่ในตลาดอีกหลายชนิด เช่น ยาดอกบัว, นะโม, ฯลฯ
       
        ยาระบายของไทยมีประโยชน์ในการระบายของเสียออกจากร่างกายมาก แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้อ่อนเพลียเพราะถ่ายมากเช่นกันจึงไม่เหมาะกับการใช้ในหลักสูตรที่ใช้การอดอาหารเวลาหลายๆวัน ในขณะที่ผงซิลเลียมไม่ทำให้หิว ขับถ่ายน้อยกว่า แต่ก็อาจทำให้อึดอัดในระหว่างการพองตัว และอาจเกิดอาการซ่านพิษ (อาการโรคเดิมจะกลับมาประทุตามร่างกายอีกครั้ง) ดังนั้นบางคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนและไม่มีคนดูแลจะต้องมีความระวังในเรื่องนี้ด้วย
       
        ตามปกติแล้วเมื่อดูวิธีการในต่างประเทศ พบว่า การล้างลำไส้จะใช้เวลาอดอาหารนานกว่าการล้างพิษออกจากตับ แต่เมื่อมาผนวกกันจึงทำให้การล้างพิษตับต้องอดอาหารนานเพิ่มขึ้นไปด้วย แต่ข้อดีสำหรับผู้ที่เข้าหลักสูตรครั้งนี้จะมีความเข้าใจเป็นที่ประจักษ์มากขึ้นว่าเมื่อล้างลำไส้จนสะอาดแล้วไม่เหลืออะไรแล้ว จึงทำให้มั่นใจว่าคืนสุดท้ายที่ล้างพิษตับจะมีผลิตภัณฑ์อีกชุดหนึ่งที่ออกมาจากส่วนอื่นที่ไม่ใช่ออกมาจากลำไส้ ซึ่งก็ย่อมออกมาจาก ตับ หรือ ถุงน้ำดี และบางส่วนก็ต้องออกมาจากสิ่งที่เราดื่มเข้าไปในคืนสุดท้ายของหลักสูตรนี้
       
        โดยเฉพาะในช่วงเวลาคืนสุดท้ายที่มีการดื่มน้ำมันมะกอก 150 ซีซี ที่ผสมเขย่าจนเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำมะนาวอีก 150 ซีซี ในเวลา 22.00 น. - 22.30 น. ซึ่งความจริงแล้วตามตำราแพทย์อายุรเวทระบุแค่ว่าให้ดื่มน้ำมันพืชผสมกับน้ำผลไม้รสเปรี้ยวเท่านั้น
       
        แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ในเวลานี้ว่าน้ำมันมะกอกที่ผสมเขย่าจนเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำมะนาวนั้น เข้าไปทำอะไรกับร่างกายเรากันแน่?
       
        ความเชื่อแรก เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ได้เข้าไปในท่อน้ำดี(ในช่วงเวลาที่ท่อน้ำดีเปิดกว้างที่สุดตามนาฬิกาชีวิต) แล้วเข้าไปดึงสิ่งตกค้างในถุงน้ำดีและตับออกมา เสมือนคราบน้ำมันในตับและถุงน้ำดีต้องล้างด้วยน้ำมันจึงจะสามารถเอาออกได้
       
        ความเชื่อที่สอง เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ไม่ได้เข้าไปในตับและถุงน้ำดี แต่เชื่อว่าน้ำมันมะกอกเป็นลิพิดซึ่งกระตุ้นทำให้ตับและถุงน้ำดีซึ่งหยุดพักจากการย่อยอาหารมช่วงเวลาหนึ่ง ได้ผลิตน้ำดีออกมาเพื่อย่อยน้ำมันมะกอกพร้อมๆกันจำนวนมาก จึงเป็นผลทำให้สิ่งตกค้างในตับและถุงน้ำดีจึงหลุดออกมาด้วย
       
        ความเชื่อที่สาม เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาว เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วน้ำดีจะออกมาทำปฏิกิริยาเคมีที่มีลักษณะเป็นสบู่ที่เรียกว่า “Saponification” ที่เกิดจากไขมันหรือน้ำมันทำปฏิกิริยากับน้ำดีซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง
       
        พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ 2 ความเชื่อแรกเชื่อว่า สูตร น้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาวช่วยล้างพิษออกจากตับได้จริง แต่ความเชื่อที่สามกลับไม่เชื่อแต่เชื่อว่าเป็นสิ่งหลอกลวงและไม่น่าเชื่อถือ
       
        ความจริงแล้วการทำ"สบู่ก้อน"ที่ทำจากน้ำมันมะกอกนั้นต้องใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ซึ่งมีค่าเป็นด่าง (Alkaline) เข้มข้นสูงสุดถึง pH 14 ในอัตราส่วนน้ำมันมะกอก 100 กรัม และใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 12.46 กรัม จึงจะมีโอกาสทำเป็นสบู่ก้อนได้
     
        แต่ความเป็นจริงน้ำดีของมนุษย์มีค่าความเป็นด่าง (Alkaline) ที่มีค่า pH เพียงแค่ 7.5 ถึง 8.8 ซึ่งห่างไกลจากค่าความเป็นด่างที่จะทำสบู่ก้อนที่ต้องมีค่า pH สูงถึง 14 จึงไม่น่าจะมีความสามารถพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาการทำเสมือนสบู่ก้อนได้ หากสมมุติทำได้อย่างมากก็เป็นแค่สบู่เหลวเท่านั้น

       
        ผลิตภัณฑ์ก้อนสีเขียว ที่มีการถ่ายออกมจากาการล้างพิษตับ จริงอยู่ที่ว่าที่มีการเรียกกันนว่า "นิ่ว" นั้นอาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะ"นิ่ว"ที่เป็นเหมือนก้อนหินนั้นต้องจมน้ำและไม่สามารถลอยน้ำได้ แต่ก้อนสีเขียวที่ลอยน้ำได้นั้นแท้ที่จริงแล้วน่าจะเป็น"ก้อนไขมัน"มากกว่าที่อาจมีการผสมทั้งน้ำดี (จึงทำให้เป็นสีเขียว) และบางส่วนอาจมาจากสิ่งที่ดื่มเข้าไป (น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว) และบางส่วนอาจผสมกับเป็นก้อนไขมันและผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ออกมาจากตับหรือถุงน้ำดีได้ด้วย ซึ่งก้อนเหล่านี้หากทิ้งไว้ในอากาศก็จะพบว่าจะค่อยๆละลายจนเป็นของเหลวได้จนหมด เพราะอย่างไรเสียเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เราดื่มเข้าไปนั้นคงต้องออกมาจากร่างกายในการขับถ่ายอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่มันมีสิ่งอื่นที่ออกมาด้วนหรือไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า
       
        แม้ว่าจะยังความน่าสงสัยสำหรับคนที่ช่างสงสัยว่าสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ออกมานั้น เป็นเพียงการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำดีกับน้ำมันมะกอกที่ผสมกับน้ำมะนาวหรือไม่ แต่ก็มีเรื่องให้น่าคิดอีกด้านหนึ่งเช่นกัน ดังนี้
       
        1. ถ้าเป็นเพียงการทำปฏิกิริยาจากสิ่งที่ดื่มเข้าไปในคืนที่ดื่มน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาวแล้ว เหตุใดการล้างพิษตับในแต่ละครั้งจึงมีผลิตภัณฑ์ออกมาของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน และเหตุใดคนๆเดียวกันในการล้างพิษตับในแต่ละครั้งก็ได้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน เช่น ก้อนสีเขียว วุ้นสีขาว แผ่นไขมันสีน้ำตาล หรือแม้แต่ไม่มีอะไรออกมาเลย ฯลฯ ?
       
        2. ถ้าสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกมามีเฉพาะการทำปฏิกิริยากระหว่างน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาวแล้วเหตุใดในหลายกรณีจึงเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ที่ต้องผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีแต่เมื่อเข้าหลักสูตรล้างพิษแล้วกลับมีนิ่วจริงๆออกมาได้โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด โดยบางกรณีพบก้อนไขมันที่ลอยน้ำแต่เคลือบไว้ด้วยนิ่วที่เป็นก้อนหิน และเหตุใดในบางกรณีจึงมีกลิ่นเหม็นเน่า ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ได้มีการล้างลำไส้หมดแล้ว ในขณะที่หลายคนไม่มีกลิ่นใด และเหตุใดจึงมีบางคนได้มีผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นไขมันสีน้ำตาลหรือดำจำนวนมากเป็นนับเป็นกิโลกรัมซึ่งมากกว่าน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวที่ดื่มเข้าไป?
       
        3. เหตุใดในกรณีจึงเกิดเหตุผู้ที่ป่วยในโรคตับ โดยเฉพาะโรคไวรัสตับอักเสบชนิด บี จึงหายจากโรคนี้ได้เป็นจำนวนหลายคนโดยอาศัยการเข้าหลักสูตรล้างพิษอย่างเดียว โดยเฉพาะกรณีล่าสุด นายชัชชัย คาวีสุทธิกร ได้เข้าตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีสูงถึง 18,100,000 IU/mL ต่อมาเข้าหลักสูตร 8 อ. (ล้างพิษตับ)ของชาวสันติอโศกไป 4 ครั้งเป็นเวลา 4 เดือน ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีลดลงเหลือ 20,400 IU/mL หลังจากนั้นจึงเข้าหลักสูตรล้างพิษตับอีก 5 ครั้ง ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555 พบไวรัสตับบีลดลงเหลือเพียงแค่ 111 IU/mL ต่อมาจึงเข้าหลักสูตรล้างพิษเป็นครั้งที่ 12 พบว่าไวรัสตับอักเสบชนิด บี ลดลงเหลือเพียง 22 IU/mL เท่านั้น
       
        แต่ที่น่าสนใจมีหลายคนที่เข้าหลักสูตรล้างพิษแล้ว มีผลตรวจทางการแพทย์ที่แสดงถึงดัชนีชี้วัดว่ามีสุขภาพที่ดีขึ้น !?
       
        จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงยังทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาสบู่ธรรมดาที่เกิดขึ้นจากน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวที่ผสมเข้ากับน้ำดี แม้จะเป็นสิ่งที่น่าติดตามศึกษาหรือพิสูจน์ต่อว่าแท้ที่จริงสิ่งเหล่านี้เข้าไปทำปฏิกิริยากับร่างกายเราจริงๆอย่างไร
       
        แต่คนที่ต้องการพิสูจน์ก็ไม่ควรพลาดโอกาสที่จะได้ลองล้างพิษเหล่านี้ออกจากร่างกายด้วยตัวเองว่ารู้สึกผลลัพธ์เป็นอย่างไร?
     
        เพราะไม่ลองด้วยตัวเอง...ก็จะไม่รู้จริงๆ!!! 


ที่มา www.manager.co.th

คำเตือน! จากหลักสูตรล้างพิษตับ

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       หลักสูตรการล้างพิษ 8 อ. (ล้างลำไส้, ถุงน้ำดี และตับ)ของชาวอโศกในเวลานี้ถือได้ว่าเป็นที่กล่าวขานถึงผลลัพธ์ที่ออกมาว่าทำให้หลายคนมีสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร? 
       
       โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับตับและถุงน้ำดีโดยตรง เช่น นิ่วในถุงน้ำดีหลายคนไม่ต้อง ไปผ่าตัดเพราะนิ่วเหล่านั้นได้ลดลงหรือหายไประหว่างเข้าหลักสูตร และโรคไวรัสตับอักเสบ ชนิดบีที่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่หาย แต่เมื่อเข้าหลักสูตรแล้วตรวจดูผลในห้องแลบของแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าสามารถทำให้อาการดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ยังไม่นับความเจ็บป่วยในโรคอื่นๆที่มีอาการดีขึ้นภายหลังระบบดูดซึมในลำไส้ดีขึ้น และการทำงานของตับดีขึ้น จึงทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายฟื้นตัวขึ้นมาด้วย
       
       ผลลัพธ์ที่ปรากฏข้างต้นนี้เองทำให้ผู้ที่เข้าอบรมหลักสูตรได้บอกต่อและกล่าวขานออกไปจนกระทั่งมีคนรอเข้าหลักสูตรล้างพิษของสถานปฏิบัติธรรมชาวสันติอโศกจนล้นในทุกหลักสูตร โดยเฉพาะที่โรงเรียนผู้นำที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งถือว่าใกล้กรุงเทพมหานครมากที่สุด และศีรษะอโศกซึ่งเป็นแหล่งรวมของผู้ริเริ่ม ค้นคว้า วิจัย และผสมผสานองค์ความรู้เรื่องหลักสูตรล้างพิษ รวมถึงสถานที่ของเอกชนที่ได้รับการยอมรับว่าจัดหลักสูตรได้มาตรฐานและหรูขึ้นมาหน่อยของคุณชญาบุญ เพชรพรหม (คุณกอบ) ที่ธัญสมุย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้มีคนรอเข้าหลักสูตรและมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมากเช่นกัน
       
       หลายคนมีความรู้หน่อย ก็สามารถค้นคว้าหาข้อมูลเองได้ในอินเตอร์เน็ททั้งหลักสูตรในประเทศ และต่างประเทศ และหลายคนเมื่อค้นคว้าแล้วก็สามารถทำเองได้เองที่บ้านเช่นกัน “หากคนๆนั้นมีสภาพร่างกายแข็งแรง” ประการหนึ่ง และ “มีความเข้าใจถึงเหตุผลถ่องแท้ของแต่ละขั้นตอนในหลักสูตร” เป็นอีกประการหนึ่ง
       
       บางคนเมื่อศึกษาหาข้อมูลแล้วก็สามารถไปปฏิบัติเองได้และได้ผลดี บางคนก็ไม่ได้ผลดี และบางคนก็เข้าหลักสูตรเพียงไม่กี่ครั้งแล้วออกมาเปิดหลักสูตรเองทำในเชิงพาณิชย์บ้าง จนเปิดศูนย์ประเภทนี้เกิดขึ้นมากมายในหลายจังหวัด มีทั้งที่ทำถูกต้องมีมาตรฐานและมีผู้เชี่ยวชาญครบถ้วนดีก็ไม่ใช่น้อย แต่มีทั้งทำแบบมั่วๆและไม่รู้จริงก็มีมากเช่นกัน
       
       จนหลายคนไม่รู้ว่าหากผู้ที่ไปปฏิบัติเองก็ดี หรือไปเปิดหลักสูตรเองก็ดี หากไม่ได้มีความเชี่ยวชาญจริง หรือรู้จริง แม้จะแอบอ้างใช้ชื่อหลักสูตรว่า “สูตร อ.ขวัญดิน” ก็จะเป็นอันตรายได้ในบางกรณี และอาจอันตรายจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ด้วย หากไม่มีผู้ที่เชี่ยวชาญและมีความรู้จริงในเรื่องนี้คอยรับมือกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง
       
       ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงได้สัมภาษณ์และรวบรวมกรณีศึกษาของ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการริเริ่มจัดหลักสูตรล้างพิษแบบบูรณาการของ ศีรษะอโศก และคุณชญาบุญ เพชรพรหม (คุณกอบ) ที่ธัญสมุย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งจัดหลักสูตรเป็นที่ยอมรับว่ามีมาตรฐานและมีความเชี่ยวชาญสูง ไว้เพื่อเป็นคำเตือนสำหรับผู้ที่คิดจะล้างพิษด้วยตัวเอง หรือจัดหลักสูตรล้างพิษของตัวเองให้ได้ทราบดังนี้
       
       ประการแรก ผู้ที่มีโรคเรื้อรังและร้ายแรง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต มะเร็งระยะสุดท้าย ไม่ควรทำด้วยตัวเองโดยปราศจากผู้เชี่ยวชาญโดยเด็ดขาด
      
       ประการที่สอง ปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่าคือคนที่เป็นโรคเหล่านี้บางคน ไม่เคยตรวจสุขภาพมาก่อน ดังนั้นผู้ที่ล้างพิษด้วยตัวเองด้วยเหตุผลนี้ผู้ที่คิดจะปฏิบัติหลักสูตรนี้ด้วยตัวเองควรตรวจสุขภาพของตัวเองให้แน่ใจเสียก่อนว่าปราศจากโรคเหล่านี้ หรือ สำหรับคนที่จัดหลักสูตรล้างพิษซึ่งไม่สามารถตรวจสุขภาพอย่างละเอียดของผู้เข้าหลักสูตรได้ จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญรับมือกับสถานการณ์ของโรคเหล่านี้ได้จริงเท่านั้น

       
       เพราะในระหว่างปฏิบัติตามหลักสูตรล้างพิษมีโอกาสเหมือนกันสำหรับผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูงจะมีความดันสูงเพิ่มขึ้นเมื่อได้รับน้ำมันมะกอกหรือดีเกลือ
       
       ผู้ที่เป็นเบาหวานอาจน้ำตาลสูงขึ้นหลังดื่มน้ำผลไม้รสหวานเช่น น้ำแอปเปิ้ลจำนวนมาก
       
       ผู้ที่เป็นโรคหัวใจในระหว่างอดอาหารหัวใจอาจเต้นเร็วขึ้นมากกว่าปกติ จนเป็นอันตรายได้หากไม่มีการดูแลอย่างใกล้ชิด (คำแนะนำจาก รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี)
       
       ผู้ที่มีโรคไตจะเกิดอาการบวมได้ทันทีเมื่อดื่มดีเกลือ
       
       แม้แต่คนที่ไม่มีโรคร้ายอะไรมาก แต่อาจเกิดอาการในทางแพทย์แผนไทยเรียกว่า “ลมตีขึ้น” ในระหว่างหลักสูตร หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงด้านการกดจุดคลายเส้นที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที ก็อาจเกิดอาการจุก หรือหายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้
      
       ประการที่สาม เพื่อความปลอดภัยผู้ที่คิดจะทำเองควรจะต้องเข้าหลักสูตรที่ถูกต้องด้วยตัวเอง 3 ครั้งขึ้นไป
 เพื่อดูอาการของตัวเองที่อาจเกิดขึ้น และประเมินอีกครั้งว่าสามารถทำเองที่บ้านได้หรือไม่
       
       แต่หลายคนที่มีสุขภาพแข็งแรงแต่ต้องการเอาพิษออก แม้เข้าหลักสูตรเพียงแค่ครั้งเดียวหรือเพียงแค่ศึกษาด้วยการอ่านจนเข้าใจก็สามารถทำเองได้ที่บ้านโดยปราศจากปัญหาใดๆ
       
       แต่บางคนเข้าหลักสูตรเพียงไม่กี่ครั้งแล้วไปจัดหลักสูตร หรือรับจัดหลักสูตรโดยที่ไม่มีความเชี่ยวชาญจริง แล้วบอกว่าไม่เคยเกิดปัญหาอะไรนั้น ก็เพราะมีความ”โชคดี”เท่านั้นที่ยังไม่พบกับกรณีที่เป็นปัญหาวิกฤติ ดังนั้นจึงต้องไม่ประมาท
      
       ในขณะที่ผู้ที่ต้องการเปิดหลักสูตรเอง ได้รับคำแนะนำว่าควรจะเข้าหลักสูตรที่ถูกต้องหลายครั้ง อย่างน้อย 6 ครั้งขึ้นไป
 เพื่อศึกษาการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในกรณีต่างๆอย่างละเอียด ถึงแม้กระนั้นก็ยังจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่รู้จริงด้านการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะการคลายเส้นและกดจุดประจำหลักสูตรเพื่อรับมือกับโรคลม ปวดหัว อาเจียน อยู่ดี
       
       ประการที่สี่ หลักสูตรล้างพิษที่จัดขึ้นนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ยังมีกำลังเท่านั้น ไม่ให้ทำในขณะอ่อนเพลีย และอย่าฝืนในสภาพร่างกายที่ไม่สามารถรับได้
       
       จากประสบการณ์ของผู้ที่จัดหลักสูตรล้างพิษ คุณชญาบุญ เพชรพรหม (คุณกอบ) ผู้จัดหลักสูตร ที่ธัญสมุย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเรียนและมีประสบการณ์นวดแผนไทยมากว่า 15 ปี ผ่านหลักสูตรสุขภาพของหมอเขียวมามาก และล้างพิษและทำการทดลองด้วยตัวเองและช่วยเหลือคนอื่นมาอย่างมากมาย ได้บอกเล่าถึงประสบการณ์ตรงพร้อมให้คำแนะนำตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นในศูนย์ล้างพิษที่ธัญสมุย ดังนี้
       
       1. สำหรับผู้จะล้างพิษด้วยตัวเอง แนะนำว่าอย่าใช้ลิดท็อกซ์ เพราะอาจทำให้เกิดการซ่านพิษ (อาการโรคเดิมจะกลับมาประทุตามร่างกายอีกครั้ง) ดังนั้นผู้ที่จะดื่มลิดท็อกซ์ควรจะต้องมีประสบการณ์ผ่านศูนย์อบรมมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง เพราะพอกวาดล้างยาลิดท็อกซ์หากไม่รู้วิธีแก้ไขอาการซ่านพิษจะทำให้เกิดอันตรายได้ จึงต้องมีคนดูแลซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ดังนั้นหากต้องการล้างพิษแนะนำให้ดื่มดีเกลือเช้าเย็น หรือยาถ่ายของไทยประเภทอื่นจะปลอดภัยกว่า
       
       2. หากทำเองหรือจัดหลักสูตรเอง แนะนำว่าอย่าอดอาหารเกินหลักสูตรจะเป็นอันตรายต่อร่างกายจนไม่สามารถรับได้
       
       3. สำหรับคนที่เป็นโรคไต อย่ากินดีเกลือมิเช่นนั้นตัวจะบวม คนที่ฟอกไตแล้วเข้าหลักสูตรนี้ไม่ได้ ให้กินข้าวต้มเปล่าๆกับเกลือมาแล้ว 2 อาทิตย์ หลังจากนั้นไม่ต้องอดอาหาร แต่ให้งดเนื้อสัตว์ ไม่ต้องดื่มน้ำมันมะกอกกับมะนาว และใช้เฉพาะการสวนล้างลำไส้อย่างเดียวพอ
       
       4. หากเกิดอาการลมตีขึ้น แนะให้แก้ตามขั้นตอน ไล่ลมกดจุดตามหน้าผากและขมับตามวิชานวดแผนโบราณ และหากความดันโลหิตสูงตัวบน (ช่วงหัวใจบีบตัว) ขึ้นสูงเกินกว่า 150 มม.ปรอท ไม่ให้ดื่มน้ำมันมะกอกโดยเด็ดขาดจำเป็นต้องให้ยาลดความดัน หรือหากดื่มดีเกลือหรือน้ำมันมะกอกแล้วความดันสูงขึ้น สามารถกดจุดลดความดันได้ด้วยการไล่ลมกดลมตรงช่องท้อง 4 จุด และจุดอู่เก๋อ (ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้) และช่วงหน้าอกตอนบน และคลายเส้นตลอดทั้งตัว
       
       เมื่อความดันตัวบนลดลงจนลงเหลือไม่เกิน 130-140 มม.ปรอทแล้ว จึงถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยที่จะดื่มน้ำมันมะกอกต่อได้
       
       5. เนื่องจากยาที่ล้างพิษไม่ว่าจะเป็นลิดท็อกซ์ หรือ ยาถ่ายที่มีดีเกลือ จัดเป็นยาฤทธิ์ร้อน หากเกิดอาการ “หอบหืด” ให้ใช้น้ำย่านางสกัด แล้วใช้น้ำมันเขียวฤทธิ์เย็น (ของหมอเขียว)ดับความร้อนแล้วไล่ลม กดตรงปลายคิ้วบริเวณขมับให้เลือดขึ้นถึงศีรษะให้ได้
      
       6. คนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ห้ามล้างพิษเองโดยเด็ดขาด
 เพราะขณะดื่มน้ำมันมะกอก จะทำให้ลมตีขึ้นจุกแน่นและตัวนิ่ง ปกติต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลและหากไม่มีความรู้เสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เว้นแต่มีผู้ที่เชี่ยวชาญสามารถไล่ลมจนฟื้นตัวได้เท่านั้น
       
       7. หากกินยากวาดลำไส้ ลิดท็อกซ์ แล้วเกิดอาการเวียนหัว อาเจียน วิธีแก้ก็คือ ดึงผมเพื่อให้เลือดดึงมาที่ศีรษะได้ กดหน้าผาก รีดขึ้นไปจากคอไปถึงกระหม่อม คลายเส้นจากไหล่ไล่ขึ้นบนจนไปถึงคอและกระหม่อม หากไม่หยุดอาเจียนให้หยุดการล้างพิษทันที
      
       8. อย่ากินน้ำมันมะกอกเกิน 150 ซีซี (หมายถึงน้ำมันมะกอก 150 ซีซี +น้ำมะนาว 150 ซีซี) 
เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้แน่นหน้าอกข้างในร้อนลามไปถึงบริเวณใบหน้าและอาเจียนในที่สุด
       
       หากดื่มน้ำมันมะกอกหลัง 22.30 ไม่ต้องซ่อมใหม่เพราะจะไม่ได้ผล จะซ่อมใหม่ดื่มอีกครั้งหากอาเจียนไม่เกิน 22.30 น.เท่านั้น
      
       9. น้ำแอปเปิ้ลดื่มมากไป (เกินลิตรครึ่ง)ท้องจะอืด ดังนั้นให้ดื่มวันเดียวเท่านั้น ให้สลับดื่มน้ำแอปเปิ้ล, น้ำมะพร้าว, น้ำมะขาม คนเป็นเบาหวานไม่ให้ดื่มน้ำแอปเปิ้ล และให้ดื่มน้ำมะละกอแก่ผสมมะละกอห่ามแทน

       
       10. การดื่มน้ำด่างให้ใช้ค่า pH ในช่วง 9.0-9.5 เท่านั้น หากสูงมากกว่านั้นจะทำให้มึนศีรษะ
       
       11. น้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวดีที่สุด หากจะผสมน้ำผลไม้อย่างอื่นให้ใช้ส้มเช้ง หรือ ส้มโอ ดีกว่า เพราะมีฤทธิ์เย็น
       
       12. การใช้น้ำมากไปเช่น 1,500 ซีซี ในการดีท็อกซ์สวนล้างลำไส้จะทำให้จุกและอาเจียนลมจะตีขึ้นอยู่ด้านบน ดังนั้นให้ใช้แต่พอดีตัว
       
       13. สำหรับคนหิวจะเป็นลมจนมือสั่น เพราะร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรต แนะนำให้ดื่มน้ำข้าวกาบา (ข้าวกล้องงอก)เป็นซุป ประมาณ 1 ถ้วยกาแฟ ร่างกายก็จะหยุดสั่นและฟื้นตัว แม้ว่าพิษจะออกน้อยหน่อยแต่จะปลอดภัยกว่า โดยเฉพาะคนหัวใจเต้นเร็วมากเกินไปหรือเป็นโรคหัวใจ อย่าฝืนอดอาหารจนสภาพร่างกายรับไม่ได้
       
       14. ตามหลักสูตรของสันติอโศก ทุกขั้นตอนมีความสำคัญเพราะเป็นการบูรณาการองค์ความรู้ แม้แต่การแช่เท้าในน้ำก็มีความสำคัญเพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นมีผลต่อระบบการทำงานในระหว่างการขับพิษออกจากร่างกาย
       
       15. คนที่ถ่ายมากและหมดแรงต้องลดดีเกลือลงตามสภาพร่างกาย การทำทุกอย่างจะต้องมีการประเมินสภาพร่างกายของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน
       
       16. ในบางกรณีมีคนเป็นโรคติดเชื้อในกระเพาะอาหารมีเลือดออกจะต้องไม่ให้ดื่มน้ำมันมะกอก และรักษาให้หายอาการติดเชื้อก่อนแล้วจึงค่อยมาเข้าหลักสูตร สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารใช้เทคนิคเอาน้ำจากต้นกล้วย (ใช้ช้อนเสียบเข้าไปในต้นกล้วยรับน้ำจากต้นกล้วย)เพื่อมารับประทานเคลือบกระเพาะอาหาร จะช่วยทำให้อดอาหารได้ และสามารถช่วยเสริมด้วยการนำกล้วยน้ำว้ามาตากแดดบดให้เป็นผงใช้ชงดื่มได้
       
       ที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นเพียงตัวอย่างของปัญหาที่ต้องแก้ที่มีความหลากหลายของแต่ละบุคคล จึงเป็นตัวอย่างให้ตระหนักว่า “หากร่างกายไม่แข็งแรงอย่าล้างพิษโดยปราศจากความรู้” และ “อย่าจัดหลักสูตรโดยขาดผู้เชี่ยวชาญรู้จริง”
      
       ดังนั้นจึงขอแนะนำในโอกาสนี้ว่าผู้ที่จะเข้าหลักสูตรล้างพิษขอให้เข้าหลักสูตรโดยเลือกศูนย์ที่มีมาตรฐานเท่านั้น!!!! 

       
ที่มา www.manager.co.th

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตามหาคำตอบ ทำไมคนล้างพิษตับจำนวนมากถึงได้มีสุขภาพที่ดีขึ้น !? (ตอนที่ 3) : เปรียบเทียบการล้างพิษตับกับงานวิจัยวิธีการล้างพิษในห้องทดลอง


       ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       จากงานวิจัยค้นคว้าที่มีชื่อว่า "Factors Affecting the Storage and Excretion of Toxic Lipophilic Xenobiotics" แปลเป็นไทยก็คือ"ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการสะสมและการขับถ่ายออกของสารพิษจากภายนอกที่ละลายในไขมัน" ซึ่งจัดทำโดย Ronal J. Jandacek และ Pratrick Tso จากภาควิชาพยาธิวิทยา มหาวิทยาลัยแห่งซินซิเนติ เมืองซินซิเนติ มลรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์เมื่อ ปี พ.ศ. 2544 แม้จะไม่ได้เสนอการล้างพิษตับแบบที่เราทำกันอยู่นี้ แต่ก็มีวิธีการที่กล่าวถึงเอาไว้ในการเทียบเคียงได้เช่นกัน
       
        เพราะงานวิจัยชี้นนี้ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าสารพิษจำนวนมากละลายอยู่ในรูปของไขมัน และเส้นทางหลักในการนำสารพิษเหล่านี้ออกคือ "น้ำดี" แต่ก็ยังพบเส้นทางอื่นในส่วนของการขับพิษทางลำไส้ได้ด้วย
       
        งานวิจัยนี้ได้กล่าวถึงสารพิษที่ละลายในไขมันว่าสามารถกำจัดออกได้ทางน้ำดี และทางลำไส้ โดยวิธีการขจัดสารพิษที่ละลายในไขมันเหล่านี้ว่าสามารถทำได้โดยการใช้สารกลุ่มหนึ่ง(ในงานวิจัยชิ้นนี้ ได้ทดลองอยู่หลายชนิด อันได้แก่ น้ำมันชนิดไม่ดูดซึม, เรซิน หรือ ยา Cholestymine, ไฟเบอร์, ถ่าน Activated Carbon) ซึ่งสารเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยรบกวนการไหลเวียนของการที่กรดน้ำดีที่ลำไส้เล็กถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดมาตามหลอดเลือดดำ มายังหลอดเลือดเข้าตับ ที่เรียกว่า "Enterohepatic Criculation" พูดง่ายๆก็คือการขับถ่ายออกให้มากโดยรบกวนไม่ให้ลำไส้ดูดกรดน้ำดีและสารพิษที่ละลายในไขมันกลับไปยังตับอีก
       
        การเข้าไปรบกวนสารประกอบจำนวนมากไม่ให้ถูกดูดกลับเข้าสู่ลำไส้เล็กไม่ว่าโดยระบบเส้นทางน้ำดีและที่ไม่ใช่เส้นทางระบบน้ำดีก็ตาม พบว่าจะช่วยเพิ่มอัตราการขจัดสารพิษที่ละลายในไขมันเหล่านี้จากร่างกายและลดค่าครึ่งชีวิตของการสะสมสารพิษเหล่านี้ลง
       
        โดยในงานวิจัยชิ้นนี้ได้ทดลองการลดไขมันในร่างกายควบคู่ไปกับการรับประทานสารกลุ่มหนึ่ง และยังช่วยให้อัตราการขับสารพิษทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าการลดน้ำหนักหรือการอดอาหารยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายขจัดสารพิษชนิดที่ละลายในไขมันนี้ออกจากร่างกายได้ดีขึ้นอีกด้วย
       
        จากงานวิจัยชิ้นนี้ถือว่ามีความสอดคล้องอย่างยิ่งกับหลักสูตรล้างพิษตับที่กำลังดำเนินการอยู่ในประเทศไทยในเวลานี้ ด้านหนึ่งมีการอดอาหารหรือลดปริมาณแคลลอรี่จากอาหาร โดยไม่มีการย่อยกากอาหาร ทำให้เกิดการนำไขมันที่อยู่ในร่างกายหรือยู่ในเนื้อเยื่อมาเผาผลาญเป็นพลังงานในระหว่างการอดอาหาร ดังนั้นในขั้นตอนนี้จึงย่อมสามารถขจัดสารพิษตกค้างได้อีกทางหนึ่ง
       
        นอกจากนั้นในงานวิจัยชิ้นนี้ ได้ใช้น้ำมันชนิดไม่ดูดซึมมาขจัดสารพิษที่ละลายในไขมัน อันได้แก่ Mineral Oil หรือ น้ำมันพาราฟิน, Olestra หรือน้ำมัน Olean แม้ว่าความจริงงานวิจัยชิ้นนี้จะเน้นความเข้าใจเรื่องการล้างพิษผ่านระบบลำไส้มากว่าน้ำดี แต่เมื่อเทียบกับกระบวนการในหลักสูตรล้างพิษตับ ที่ให้กินดีเกลือก่อนล่วงหน้าแล้วจึงค่อยดื่มน้ำมันมะกอกตามหลังจากนั้น 2 ชั่วโมง ก็เพื่อให้เกิดภาวะน้ำมันมะกอกไม่ถูกดูดซึมกลับเช่นกัน (หรือถูกดูดซึมได้น้อยกว่าปกติ)เช่นกัน ดังนั้นการล้างพิษโดยใช้น้ำมันมะกอกมาล่อน้ำดีออก จึงเท่ากับเป็นการนำสารพิษที่ละลายไขมันที่อยู่ในน้ำดีออกจากร่างกายให้ได้มากขึ้น
       
        นอกจากนี้ในส่วนของการล้างพิษผ่านระบบลำไส้นั้น ในงานวิจัยชิ้นนี้ยังใช้การแทรกแซงอีกหลายชนิด เช่น ไฟเบอร์ เช่น รำข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง หญ้าเบอร์ดอค ก็สามารถล้างพิษตกค้างออกได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีการกล่าวถึง Resins คือยา Cholestyamine หรือการล้างพิษโดยใช้การรับประทาน Activated Carbon ก็คือผงถ่านที่ทำหน้าที่ดูดสารพิษ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการทำความสะอาดและกวาดสารพิษผ่านระบบลำไส้ทั้งสิ้น
       
        ดังนั้นเมื่อเทียบกับหลักสูตรล้างพิษของประเทศไทยในเวลานี้ การใช้สิ่งที่ดื่มเข้าไปที่เรียกว่า ลิดท็อกซ์ ซึ่งมีองค์ประกอบหลักคือ ผงซิลเลี่ยม (Psyllium) ซึ่งให้ผลในการพองตัวและกวาดล้างทำความสะอาดลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้มีงานวิจัยและผลทดลองทางการแพทย์ของแมกซิโกที่ชื่อว่า Effects of fiber administration in the prevent of gallstone in obese patients on a reduction diet พบว่า ซิลเลี่ยม ช่วยผลของการให้สารไฟเบอร์ในการป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีในผู้ป่วยโรคอ้วนที่ได้เข้าสู่การลดปริมาณอาหารด้วย
      
        แต่ภูมิปัญญาไทยที่ผสมผสานสูตรการล้างลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากกว่านั้น เช่น การดื่มน้ำสมุนไพร การรับประทานยาชำระเมือกมัน (ที่ผสมตัวยาในการดูดพิษและขับพิษตกค้างได้มาก) การดื่มน้ำมะขามเป็นยาถ่าย หรือแม้กระทั่งการพัฒนาไปถึงการย่อยสลายสิ่งตกค้างด้วยเอนไซม์ผง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการพัฒนาให้การล้างในส่วนของลำไส้เต็มไปด้วยประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

       
        การขับ "น้ำดี" ออกจากร่างกายให้มาก ไม่ได้ส่งผลเฉพาะเรื่องการลดไขมันในตับเพื่อมาผลิตน้ำดีอย่างเดียว ยังมีผลทำให้เอาสารพิษที่ละลายในไขมันออกมาจากตับเพื่อมาผลิตน้ำดีและขับทิ้งไปออกไปด้วย แต่ดูเหมือนในเรื่องน้ำดีเราอาจจะพบเรื่องที่น่าตั้งข้อสังเกตจากงานวิจัยใหม่ๆเพิ่มเติมที่น่าศึกษาต่อเกี่ยวกับ"กรดน้ำดีทุติยภูมิ"
       
        ถ้าเราสามารถขับ "น้ำดี" ที่มาพร้อมกับ "กรดน้ำดีทุติยภูมิ" ออกจากร่างกายให้ได้มากขึ้นก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ด้วย เมื่อพบในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านไขมัน ในหัวข้อ Bile acids as regulatory molecules เมื่อปี พ.ศ. 2552 พบว่ากรดน้ำดีบางชนิด (เช่น Deoxycholic acid หรือ DCA) กระตุ้นการแบ่งเซลล์มะเร็งได้มากขึ้น และยังมีงานวิจัยพบว่ากรดน้ำดีบางชนิด (เช่น Deoxycholic acid หรือ DCA และ Lithocolic acid หรือ LCA) ก็สามารถสื่อสัญญาณกระตุ้นการอักเสบ (Inflammation) ได้อีกด้วย โดยควบคุมผ่าน Inflammatory gene ดังนั้น เมื่อดูองค์ประกอบของน้ำดีเช่นนี้แล้วจึงทำให้เข้าใจได้ว่า การขับน้ำดีและกรดน้ำดีโดยใช้น้ำมันมะกอกล่อให้น้ำดีออกมาย่อยแล้วขับถ่ายออกให้มากกว่าที่ดูดกลับนั้นก่อให้เกิดผลดีกับร่างกายมากเพียงใด
       
        แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยเมื่อเราได้มาค้นพบงานวิจัยในยุคนี้ถึงการขับ "น้ำดี" ออกจากร่างกายให้มากนั้นเกิดประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าเมื่อพบว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสเอาไว้เมื่อเกือบ 2,600 ปีที่แล้ว ปรากฏในพระไตรปิฎกเล่ม 21 ข้อ 87 "ปุตตสูตร" โดยได้ทรงกล่าวถึงเหตุที่ทำให้คนเราต้องเจ็บป่วย มีอยู่ 8 ประการด้วยกันคือ
      
        1. ดี เป็นสมุฏฐาน

        2. เสมหะ (เมือกจากลำคอหรือลำไส้) เป็นสมุฏฐาน
        3. ลม (ภายในกาย) เป็นสมุฏฐาน
        4. ประชุมกันเกิดขึ้น
        5. ฤดูแปรปรวน
        6. การบริหารไม่สม่ำเสมอ
        7. การบาดเจ็บ
        8. เกิดจากผลกรรม (บาป)
       
        ที่ว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงให้ความสำคัญถึง "ดี" ว่าเป็นสมุฏฐานในข้อแรก จึงย่อมสำคัญ ซึ่งก่อนหน้านี้เราพอจะเข้าใจว่า "มูกเมือก" (Mucus) ดักจับสารพิษในร่างกาย หรือ "ลม" คือการเกิดแก๊สพิษในร่างกายอย่างไม่เหมาะสม ก็ก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกายได้ แต่มายุคนี้ด้วยความรู้วิทยาศาสตร์เราจึงเพิ่งเข้าใจว่า "น้ำดี" เป็นทั้งไขมันคอเลสเตอรอล เป็นทั้ง ไขมันที่มีสารพิษละลายอยู่ และยังมีกรดน้ำดีที่เป็นโทษต่อร่างกายได้อีกด้วย
      
        จึงไม่แปลกเลยที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงจัดให้ "ดี" เป็นสมุฏฐานแห่งโรคลำดับแรก !!! 


ที่มา : www.manager.co.th