วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

ปฏิวัติน้ำมันพืช (ตอนที่ 12): ดื่มน้ำมันมะพร้าวแล้วผอมลง และรักษาโรคเบาหวาน ได้อย่างไร?

Žณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
      
       ความจริงสำหรับคนไทยแล้วโรคอ้วนยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ในขณะที่หลายคนอาจไม่รู้ว่าความจริงคนที่อ้วนส่วนใหญ่นั้นนอกจากจะตัดประเด็นเรื่องไม่ได้ออกกำลังกายแล้ว ส่วนใหญ่นั้นเป็นเพราะกินน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตมาก (รวมถึงแป้ง, ข้าว, เส้นก๋วยเตี๋ยว) มากเกินไปต่างหาก ถ้าไม่เชื่อใครที่อ้วนลองสักเพียงแค่ 1 สัปดาห์แล้วรับประทานอาหารจำพวก ไขมัน โปรตีน และผักให้มาก งดแป้งและน้ำตาลรวมถึงผลไม้หวานๆด้วย แล้วเสริมด้วยการดื่มน้ำมันมะพร้าวทุกวันตอนเช้า รับรองว่าเห็นผลผอมลงอย่างแน่นอน
      
        นพ.ดร.วิศาล เยาวพงศ์ศิริ 
ได้เคยเขียนหนังสือเรื่อง "พิชิตโรคอ้วนและเบาหวาน" ได้ศึกษาทั้งในทางการแพทย์และทางชีวเคมีอย่างละเอียด ระบุว่า น้ำตาลเป็นตัวกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากเซลล์ตับอ่อน ดังนั้นหากเรากินอาหารไร้แป้งและน้ำตาล ก็จะไม่มีการหลังอินซูลิน ร่างกายก็ย่อมไม่สามารถจะสะสามไขมันเพิ่มเติม ทั้งมีการเชื่อมโยงว่าสาเหตุการเกิดโรคอ้วน เบาหวานและไขมันในหลอดเลือดสูง เป็นผลจากการกินอาหารแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ดร. จีเอ็ม รีเวน (Dr. GM Reaven) ได้เสนอชื่อกลุ่มอาการนี้ว่า Syndrome X
      
        ผลงานของ นพ.ดร.วิศาล เยาวพงศ์ศิรินั้น เคยรักษาคนที่อ้วนที่สุดในประเทศไทยมาแล้วชื่อนายโกวิท เสริมทรัพย์ (แป้ง) จากน้ำหนัก 352 กิโลกรัมสามารถลดลงไปได้ถึง 200 กิโลกรัม ภายในเวลา 1 ปี 4 เดือน รอบอกเดิมจาก 64 นิ้ว ลดเหลือ 41 นิ้ว เอวจาก 73 นิ้วเหลือ 40 นิ้ว สะโพกจาก 82 นิ้ว เหลือ 48 นิ้ว และต้นขาจาก 42 นิ้ว เหลือ 27 นิ้ว
ปฏิวัติน้ำมันพืช (ตอนที่ 12): ดื่มน้ำมันมะพร้าวแล้วผอมลง และรักษาโรคเบาหวาน ได้อย่างไร?
ภาพ : นายโกวิท เสริมทรัพย์ (แป้ง) ที่ลดน้ำหนักไป 200 กิโลกรัมภายใน 1 ปี 4 เดือน ด้วยการปรับสูตรอาหารใหม่ (ภาพจากหนังสือ "พิชิตโรคอ้วนและเบาหวาน" โดย นพ.ดร.วิศาล เยาวพงศ์ศิริ)
       สูตรอาหารที่ นพ.ดร.วิศาล เยาวพงศ์ศิริ รักษาคนที่อ้วนและเบาหวานนั้นก็คือการลดแป้งและน้ำตาล โดยกินอาหารวันละ 2 มื้อ โดยมื้อเช้าไม่กินอะไรเลย กินเฉพาะมื้อกลางวันและเย็น งดอาหารพวกขนมจุกจิก น้ำหวานทุกประเภท น้ำอัดลม พยายามให้กินผักมากๆ รับประทานอาหารจำพวกโปรตีนให้เพียงพอ และอาหารที่เป็นของทอดก็กินบ้าง ซึ่งผลการรักษาก็เป็นที่น่าพอใจ
      
        เช่นเดียวกับ น.ส.จิงจู แซ่ฉั่ว เคยชนะการประกวดธิดาปุ้มปุ้ย ซึ่งเดิมมีน้ำหนัก 191 กิโลกรัม ใช้วิธีการรักษาด้วยสูตรอาหารแบบเดียวกันเป็นเวลา 1 ปี น้ำหนักลดลงเหลือเพียง 75 กิโลกรัม
      
        เช่นเดียวกันกับโรคเบาหวาน นพ.ดร.วิศาล เยาวพงศ์ศิริ วีธีให้ผู้ป่วยจำกัดแป้งและน้ำตาล (Restricted Carbohydrate Diet) ให้กินผัก โปรตีน ไขมัน และใยพืชให้มากพอจนอิ่ม และจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยลดหรืองดยาเบาหวานเพื่อป้องกันเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ (Hypoglycemia) และให้เจาะหาค่าน้ำตาล (DTX) ทั้งก่อนและหลังอาหารเช้า เพื่อเรียนรู้ว่าอาหารใดมีผลต่อค่าน้ำตาลในเลือดน้อยหรือมาก อาหารใดบริโภคได้ และอาหารใดควรหลีกเลี่ยง พบว่าสูตรอาหารนี้ลดระดับน้ำตาลเลือดได้เร็วมาก ทั้งช่วยลดน้ำหนักและไขมันพุงได้ในเร็ววัน
      
        เมื่อรู้ว่าการลดแป้งและหวานจะช่วยทำให้น้ำหนักลดลงแล้ว คราวนี้เราจะมาพิจารณาเสริมด้วยการดื่มน้ำมันมะพร้าวว่าจะช่วยทั้งโรคอ้วนและเบาหวานต่อได้อย่างไร?
      
        คำตอบนี้ค้นหาได้จาก ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา นักเกษตรอาวุโสขององค์การอาหารและเกษตรแห่งองค์การสหประชาชาติ ได้อธิบายอยู่ในหนังสือหลายเล่มว่า น้ำมันมะพร้าว จะช่วยกระตุ้นอัตราการเผาผลาญให้สูงขึ้น หรือที่เรียกว่ากระตุ้นเมแทบอลิซึม (Metabolism) ให้สูงขึ้น เพราะน้ำมันมะพร้าวมีองค์ประกอบของไตรกลีเซอไรด์สายโซ่ปานกลาง (Medium Chain Triglyceride)มากกว่าน้ำมันชนิดอื่น จึงมีขนาดเล็กกว่าโมเลกุลของน้ำมันชนิดอื่นๆ ซึ่งน้ำมันชนิดอื่นส่วนใหญ่เป็นไตรกลีเซอไรด์สายโซ่ปานยาว (น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันหมู น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ) ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวจึงถูกย่อยได้รวดเร็วมากส่งไปยังตับและกลายเป็นพลังงานโดยทันที โดยไม่สะสมเป็นอาหารสำรองในรูปของไขมันเหมือนน้ำมันชนิดอื่นๆ
      
        จากการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2530 เมื่อ Crozier G. และคณะ ได้ศึกษาเรื่อง Metabolic effects induced by long-term feeding of medium-chain triglycetides in the rat. คือการทดสอบดูอัตราการเผาผลาญโดยการให้อาหารเป็นไตรกลีเซอไรด์สายยาวเปรียบเทียบกับสายปานกลาง พบว่าหนูที่กินไตรกลีเซอไรด์สายปานกลาง (ซึ่งมีมากในน้ำมันมะพร้าว) จะสะสมไขมันน้อยกว่าหนูที่กินไตรกลีเซอไรด์สายปานกลางถึง 60%
      
        จากการศึกษาในปี พ.ศ. 2539 โดย Dullo และคณะในหัวข้อ Twenty-four-hour energy expenditure and urinary catecholamines of humans consuming low-to-moderates amounts of medium-chain triglycerides: a dose-response study in a human respiratory chamber ตีพิมพ์ใน Eur.J.Clin. Nutr. 50:152-158 ได้ค้นพบว่า ไตรกลีเซอไรด์สายปานกลาง จะไปกระตุ้นกระบวนการเมแทบอลิซึมหรือการเผาผลาญให้สูงขึ้น จึงไปช่วยเพิ่มการใช้แคลอรีของร่างกาย และการกระตุ้นด้วยไตรกลีเซอไรด์สายปานกลางนั้นจะมีอัตราการเผาผลาญแคลอรีต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง
      
        การบริโภคน้ำมันมะพร้าวนั้นจะทำให้อัตราการเผาผลาญสูงขึ้น จึงทำให้ร่างกายตัวอุ่นขึ้น (Thermogenesis) โดยอุณหภูมิในร่างกายจะสูงขึ้น ดังนั้นผู้ที่ป่วยเป็นโรคไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ หรือไทยรอยด์ฮอรโมนต่ำแฝง จะมีอาการดีขึ้น
      
        นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวเมื่อให้พลังงานสูงขึ้นมีอัตราการเผาผลาญสูงขึ้น จะทำให้เราเกิดความหิวน้อยลง กินอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ทำให้เกิดความโหยในแป้งและน้ำตาลน้อยลงด้วย
      
        และเนื่องจากกรดไขมันสายปานกลางในน้ำมันมะพร้าวมีขนาดโมเลกุลที่เล็ก จึงเข้าไปในเซลล์ได้โดยไม่ต้องพึ่งอินซูลินให้เป็นตัวพาเข้าไป ดังนั้นเซลล์ในร่างกายจึงได้รับอาหารโดยไม่ต้องอาศัยอินซูลิน
 ดังนั้นผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานไม่ว่าจะเป็นเหตุผลมาจากที่ตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่เพียงพอ หรือเซลล์ไม่ตอบสนองต่ออินซูลินก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะกรดไขมันสายปานกลางในน้ำมันมะพร้าวจะสามารถผ่านเยื่อเซลล์เข้าไปได้ และยังสามารถเข้าไปยังไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) ได้โดยตรง
      
        โดยเฉพาะจากการศึกษา ในปีพ.ศ. 2535 โดย Garfinkel และคณะได้ศึกษาในหัวข้อ "Insulino-tropic Potency of Lauric acid: A Metabolic rational for medium chain fatty acids (MCF) in TPN formulation. ตีพิมพ์ใน J.Surg.Res. 52:328-3 พบว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะมันช่วนให้มีการสร้างอินซูลิน และตอบสนองของเซลล์ต่ออินซูลินได้มากขึ้น
       
        สรุปว่าลดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต แป้ง น้ำตาล ของหวาน และดื่มน้ำมันมะพร้าวเพิ่มขึ้น จะช่วยทำให้คนที่อ้วนผอมลง และเบาหวานลดลงได้!!!

ขอขอบคุณข้อมุลแลภาพจาก www.manager.com

ปฏิวัติน้ำมันพืช (ตอนที่ 11) : กินน้ำมันมะพร้าวเป็นไขในฤดูหนาว ทำยังไงดี?


ปฏิวัติน้ำมันพืช (ตอนที่ 11) : กินน้ำมันมะพร้าวเป็นไขในฤดูหนาว ทำยังไงดี?
Žณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
      
        ฤดูหนาวปีนี้ในประเทศไทยดูเหมือนจะมีความเย็นกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา เสื้อกันหนาวที่ใช้กันไม่ได้หลายปีก็กลับเอามาใช้ได้มากขึ้น
      
        "น้ำมันมะพร้าว" ซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวจะเริ่มแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิเย็นกว่า 25 องศาเซลเซียส ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องน้ำมันมะพร้าวมาก่อน ก็อาจจะถูกหลอกอีกว่าเห็นไหมน้ำมันพวกนี้เป็นไขลองคิดดูว่าถ้ามันเข้าไปในร่างกายเรามันจะเป็นไขตามหลอดเลือดเราขนาดไหน?
      
        แต่ถ้าเราพิจารณาให้ดีก็จะพบว่าน้ำมันมะพร้าวจะเป็นไขเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่ร่างกายมนุษย์มีอุณภูมิความเย็นระหว่าง 36.4-37.0 องศาเซลเซียส จึงไม่สามารถจะเกิดเป็นไขได้เลย
      
        ในทางตรงกันข้ามถ้าเราเอาน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งส่วนใหญ่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งสูง (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด ฯลฯ) มาทอดด้วยความร้อนสูงแล้วตั้งทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องหรือตากแดดเอาไว้ให้ที่ใกล้เคียงอุณหภูมิร่างกายมนุษย์ เรากลับพบว่าน้ำมันเหล่านั้นเหนียวเป็นคราบแล้วล้างออกได้ยาก ซึ่งแตกต่างจากน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันหมูที่มีไขมันอิ่มตัวมาก เมื่อโดนความร้อนจึงไม่เป็นคราบเหนียวๆเหมือนน้ำมันพืชเหล่านั้นเลย
      
        ความจริงแล้วการเป็นไขในอุณหภูมิเย็นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะน้ำมันมะพร้าวที่มีกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่สูงเท่านั้น แม้แต่น้ำมันหมูเมื่อโดนอุณหภูมิที่เย็นก็จะเป็นไขได้เช่นเดียวกัน และเมื่ออุณหภูมิปกติใกล้เคียงร่างกายมนุษย์ไขเหล่านี้ก็จะหายไปทั้งหมด
      
        ดร.เรย์ พีท นักเคมีจากมหาวิทยาลัยโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เคยเขียนเรื่องอุณหภูมิกับน้ำมันเอาไว้ความตอนหนึ่งว่า
      
        "ไขมันอิ่มตัวจะเกิดขึ้นในพืชที่ขึ้นในเขตร้อนชื้นและในสัตว์เลือดอุ่นซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับเสถียรภาพของน้ำมันที่อุณหภูมิสูง ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวหากเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องเป็นเวลา 1 ปี มันจะไม่หืน เพราะต้นมะพร้าวโตในอุณหภูมิประมาณ 37.7 องศาเซลเซียส ดังนั้น ณ อุณหภูมิห้องมันจะไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน (Oxidative) 
      
        ในขณะที่น้ำมันปลาและน้ำมันดอกคำฝอยซึ่งเจริญเติบโตในอุณหภูมิเย็นจะไม่สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้เลย เพราะในอุณหภูมิเพียง 36.6 องศาเซลเซียส มันจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนอย่างรวดเร็วมาก
      
        สิ่งแวดล้อมที่มีอุณหภูมิยิ่งสูงไขมันจากสิ่งที่มีชีวิตเหล่านั้นจะมีความอิ่มตัวมาก เช่นเดียวกับแหล่งเพาะปลูกของน้ำมันพืช ตัวอย่างเช่น "แกะ" เป็นสัตว์ที่มีไขมันอิ่มตัวสูง แต่ไขมันชั้นบนติดผิวหนังจะกลายเป็นไขมันไม่อิ่มตัว เพื่อป้องกันไม่ให้แตกกระด้าง(หรือเป็นไข)เมื่อโดนอุณหภูมิเย็น นอกจากนี้จากงานวิจัยของ ศาสตราจารย์ เรย์ วูฟ ในหัวข้อ เคมีของโภชนาการและอาหารของโลก ของมหาวิทยาลัยโอเรกอน มลรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2529 ได้ค้นพบว่า "ถ้านำหมูมาใส่เสื้อกันหนาว หมูตัวนั้นจะมีไขมันอิ่มตัวมากกว่าหมูตัวอื่น"
      
        เช่นเดียวกับน้ำมันปลา ปลาปกติมีชีวิตอยู่ในอุณหภูมิความเย็นจนเกือบแข็งตัวมันเองไม่เป็นไขหรือแตกกระด้าง แต่มันจะตายลงทันทีหากมันปลาเป็นสัตว์ที่สะสมไขมันอิ่มตัว
 ดังนั้นไขมันที่ไม่อิ่มตัวซึ่งเจริญเติบโตและมีชีวิตอยู่กับความเย็นมันจะหืนง่ายเมื่อโดนความร้อน เมื่อไขมันเหล่านี้ถูกเก็บเอาไว้ในเนื้อเยื่อเราที่มีอุณหภูมิสูงกว่าทีมันเคยมีชีวิตอยู่ มันจะเปิดรับทำปฏิกิริยากับออกซิเจนกลายเป็นอนุมูลอิสระได้มาก"
      
        เมื่อเราได้เข้าใจเรื่องประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวได้มากขึ้น คำถามที่ตามมาก็คือ ฤดูหนาวเมื่อโดนอุณหภูมิที่เย็น มันก็จะกลายเป็นไขแล้วเราจะบริโภคหรือใช้มันได้อย่างไร?
      
        เรื่องนี้ ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา นักเกษตรอาวุโส ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ และเป็นประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย ได้ให้ความเห็นถึงปัญหาคาใจนี้ในตีพิมพ์ในนิตยสารกัลปพฤกษ์ประจำเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 ความตอนหนึ่งว่า:
      
        "น้ำมันมะพร้าวที่ตั้งไว้ เกิดแข็งตัว หรือถ้าหนาวไม่มากนัก ก็เปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น หนืดขึ้น ทำให้บางคนไม่กล้าใช้ หรือถ้ามันแข็งตัวในขวดก็เทไม่ออก ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์จากสมาชิกของชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวฯ นับเป็นสิบ ๆ ราย ถามถึงผลเสียจากการแข็งตัวดังกล่าว
      
        ก่อนที่จะอธิบายถึงเรื่องราวของการแข็งตัวของน้ำมันมะพร้าว ขอเล่าถึงรายการเกี่ยวกับสุขภาพทางวิทยุรายการหนึ่ง เมื่อสองสามปีมาแล้ว มีนายแพทย์คนหนึ่ง จากโรงพยาบาลวิภาวดี เป็นผู้ดำเนิการ ได้โจมตีน้ำมันมะพร้าวว่า เมื่อนำน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันถั่วเหลืองไปเข้าตู้เย็นปรากฎว่าน้ำมันมะพร้าวแข็งตัว ส่วนน้ำมันถั่วเหลืองยังเป็นของเหลวอยู่ แพทย์ผู้นั้น จึงสรุปว่า ลองคิดดูซิว่า หากบริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไปแล้ว ไปแข็งตัวในหลอดเลือด อะไรจะเกิดขึ้น เสียดายที่รายการนั้น ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ฟังถามปัญหา ผู้เขียนจึงไม่มีโอกาส “สอนสังฆราช” ว่า ท่านเป็นถึงแพทย์ แต่ไม่รู้ว่าอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์อยู่ที่ 37oซ. ไม่ใช่ 25oซ. ซึ่งเป็นจุดที่น้ำมันมะพร้าวแข็งตัว สิ่งที่ท่านทำไปสอดคล้องกับโฆษณาของน้ำมันถั่วเหลือง ที่มีสปอตโฆษณาทางโทรทัศน์ ที่แสดงว่า น้ำมันถั่วเหลืองไม่เป็นไขเมื่อนำเข้าเก็บในตู้เย็น อาจเป็นได้ที่แพทย์คนนี้ รับค่าโฆษณาจากบริษัทขายน้ำมันถั่วเหลือง
      
        กลับมาพูดถึงเรื่องน้ำมันมะพร้าวเริ่มแข็งตัวที่อุณหภูมิ 25oซ. หากอุณหภูมิต่ำลง มันจะเป็นของแข็ง แต่ถ้าสูงขึ้นมันก็กลับเป็นของเหลวดังเดิม มีหลายคนทำตัวเป็นผู้รู้ว่า โครงสร้างของน้ำมันมะพร้าวเปลี่ยนไป เมื่อเปลี่ยนสภาพจากของเหลวไปเป็นของแข็ง แล้วกลับไปเป็นของเหลว จึงไม่ควรนำมาใช้อีก ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ไม่ควรดื่มน้ำ เพราะน้ำเปลี่ยนสภาพเป็นของแข็ง คือน้ำแข็ง เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงถึง 0oซ. และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งก็ละลาย แต่ไม่ปรากฏว่าคุณสมบัติของน้ำเปลี่ยนไปแต่อย่างใด
      
       การที่น้ำมันมะพร้าวเป็นของแข็ง ก็มีข้อดีดังต่อไปนี้:
      
       1. ทำให้บริโภคได้ง่ายขึ้น สามารถนำมาทาขนมปัง รับประทานได้สะดวก
      
       2. ไม่มีกลิ่นหรือกลิ่นลดลง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำมันมะพร้าว ที่จริงน้ำมันมะพร้าวแข็ง มีกลิ่นคล้ายชอกโกแลตขาว (white chocolate) บางคนเรียกน้ำมันมะพร้าวแข็งนี้ว่า เนยมะพร้าว (coconut butter หรือ margarine)

      
       ที่จริงการแข็งตัวของน้ำมัน เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา ของวงการอุตสาหกรรมอาหาร เพราะต้องการให้ผลิตภัณฑ์อาหารไม่เหนียวเหนอะหนะเวลาจับต้อง ดังเช่นโดนัท บิสกิต แครกเกอร์ หรือขนมประเภทกรุบกรอบ สิ่งที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทำก็คือ อัดก๊าซไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลือง เพื่อเปลี่ยนให้เป็นน้ำมันอิ่มตัว (แล้วทำไมไปปรักปรำน้ำมันอิ่มตัวว่าไม่ดี?) ทำให้น้ำมันนั้นแข็งตัวในอุณหภูมิห้อง แต่กระบวนการนี้ ก็เปลี่ยนน้ำมันส่วนหนึ่งให้เป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
      
       สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้น้ำมันมะพร้าวแข็งตัวในฤดูหนาว โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือ และภาค อีสาน สามารถทำได้โดยนำขวดน้ำมันมะพร้าวไปผูกไว้ด้านหลังตู้เย็น ที่มีคอยล์ร้อน หรือถ้าน้ำมันแข็งในขวด เทไม่ออก ก็เพียงแต่แช่น้ำอุ่นจากก๊อกน้ำ (ถ้ามีน้ำอุ่น) หรือที่ได้จากการต้มน้ำ เช่นหม้อต้มน้ำร้อนสำหรับชงกาแฟ
      
       ส่วนผู้ที่ต้องการบริโภคน้ำมันมะพร้าวแข็ง เพราะไม่มีกลิ่น หรือเพื่อใช้ทาขนมปัง ก็เทน้ำมันมะพร้างลงในขวดปากกว้าง และนำไปแช่ตู้เย็น เวลาบริโภค ก็ใช้ช้อนหรือมีดทาขนมปังขูดขึ้นมาจากขวด แล้วทาขนมปัง หรือใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่นทาตัว ซึ่งน้ำมันมะพร้าวจะหลอมเหลวเมื่อถูกกับผิวหนังที่อุ่น"

      
       ต้องกราบขอบพระคุณ ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ได้กรุณาอนุญาตให้ผมเผยแพร่ข้อความดังกล่าวข้างต้นนี้เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับผู้บริโภคน้ำมันมะพร้าวมือใหม่ คราวนี้เราก็ได้บริโภคน้ำมันมะพร้าวในตอนที่เป็นไขได้อีกรสชาติหนึ่งที่ไม่มีกลิ่นน้ำมันมะพร้าวได้ในฤดูหนาวแล้ว!!!

ข้อมูลจาก www.manager.co.th

เปิดเมนูปรับสมดุลร่างกาย กินตาม “ธาตุเจ้าเรือน”

       สุขภาพของเราจะสมบูรณ์แข็งแรงไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลังการเท่านั้น แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็มีส่วนสำคัญ ว่ากันง่ายๆ คือ กินดีมีประโยชน์ก็ได้สุขภาพดี กินของไม่ดีไม่เกิดประโยชน์ นอกจากไม่ช่วยส่งเสริมยังอาจทำให้เกิดโรค อย่างที่มีคำภาษาอังกฤษที่ว่า “You are what you eat” หรือกินอย่างไรก็ได้อย่างนั้น
      
       นอกจากนี้ การรับประทานอาหารไม่ใช่เพียงการเลือกของที่ดีมีประโยชน์เท่านั้น แต่หากผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารรับประทานสอดคล้องกับ “ธาตุเจ้าเรือน” ของตนด้วยแล้ว ก็จะมีแต่คำว่า สุขภาพดี ตามมาแน่นอน
      
       หลายคนอาจสงสัย “ธาตุเจ้าเรือน” คืออะไร? จากคู่มือของสำนักงานสาธารณสุข จ.นครปฐม กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค งานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ระบุว่า ทฤษฎีการแพทย์แผนไทยนั้น ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ ซึ่งแต่ละคนจะมี “ธาตุประจำตัว” หรือเรียกว่า “ธาตุเจ้าเรือน” ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ “ธาตุเจ้าเรือนเกิด” หมายถึงเป็นไปตามวันเดือนปีเกิด และ “ธาตุเจ้าเรือนปัจจุบัน” ที่พิจารณาจากบุคลิกลักษณะ อุปนิสัย และภาวะด้านสุขภาพว่าสอดคล้องกับลักษณะบุคคลธาตุเจ้าเรือนอะไร โดยสมัยโบราณจะใช้รสชาติอาหารเป็นยารักษาโรค เพราะรสชาติต่างๆ จะมีผลต่อร่างกาย ดังบทกลอนอธิบายความหมายจากรสยา 9 รส ดังนี้
      
       ฝาดชอบทางสมาน หวานซึมซาบไปตามเนื้อ
       เมาเบื่อแก้พิษต่างๆ ขมแก้ทางโลหิตและดี
       รสมันบำรุงหัวใจ เค็มซึมซาบตามผิวหนัง
       เปรี้ยวแก้ทางเสมหะ เผ็ดร้อนแก้ทางลม
      
       ดังนั้น หากธาตุทั้งสี่ในร่างกายมีความสมดุล ก็จะไม่ค่อยเจ็บป่วย หากขาดสมดุลก็จะเจ็บป่วยด้วยโรคจุดอ่อนด้านสุขภาพแต่ละคนตามเรือนธาตุที่ขาด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราอยู่ในธาตุใด มีจุดอ่อนอะไร และควรรับประทานอะไรเพื่อให้ตรงกับธาตุเจ้าเรือนของตน เรามีคำตอบ...
เปิดเมนูปรับสมดุลร่างกาย กินตาม “ธาตุเจ้าเรือน”
       ธาตุดิน เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม ลักษณะของคนธาตุดินนั้นจะมีร่างกายแข็งแรง และกล้ามเนื่อแข็งแรง
      
       คนธาตุดินควรรับประทานอาหารที่มีรสฝาด ซึ่งจะช่วยสมานปิดธาตุ รสหวาน ซึมซาบไปตามเนื้อ ทำให้ชุ่มชื่นบำรุงกำลัง หากรับประทานมากเกินไปทำให้กำเริบ ง่วงนอน เกียจคร้าน รสมัน แก้เส้นเอ็นพิการ แวดเสียว ขัดยอด กระตุก และ รสเค็ม ซึมซาบไปตามผิวหนัง ประดง ชา คันถ้ามากไปทำให้ร้อนใน กระหาย
      
       ผลไม้ที่ควรรับประทาน เช่น ฝรั่งดิบ หัวปลี กล้วย มะละกอ เผือก มัน ถั่วพู กะหล่ำปลี ผักกะเฉด มังคุด ฝรั่ง ฟักทอง เผือก ถั่วต่างๆ เงาะ หัวมันเทศ ส่วนผักพื้นบ้าน เช่น ผักกระโดน กล้วยดิบ ยอดมะม่วงหินมพานต์ ยอดมะยม สมอไทย กระถินไทย กระโดนบก กระโดนน้ำ ผักหวาน ขุ่นอ่อน สะตอ ผักโขม โสน ขจร ยอดฟักทอง ผักเซียงดา ลูกเหนียงนก บวบเหลี่ยม บวบงู และบวบหอม
      
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ ผักกูดผัดน้ำมันงา คั่วขนุน สะตอผัดกุ้ง ผัดสายบัว แกงมะระ เต้าส่วน วุ้นกะทิ กล้วยบวดชี แกงบวดฟักทอง ตะโก้เผือก น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำตาลสด น้ำมะตูม นมถั่วเหลือง น้ำแคนตาลูป น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำลูกเดือย น้ำข้าวโพด น้ำแห้ว น้ำฟักทอง
      
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้มีธาตุเจ้าเรือน ธาตุดินมักไม่ค่อยเจ็บป่วย เพราะธาตุดินเป็นที่ตั้งกองธาตุ
เปิดเมนูปรับสมดุลร่างกาย กินตาม “ธาตุเจ้าเรือน”
       ธาตุน้ำ เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ลักษณะของคนธาตุน้ำมักมีรูปร่างสมส่วน ท้วมถึงอ้วน ผิวพรรณสดใส เต่งตึง ตาหวาน น้ำตามาก ท่าทางเดินมั่นคง ผมดกดำ กินช้ำทำอะไรช้า ทนหิว ทนร้อน ทนเย็นได้ดี เสียงโปร่ง มีลูกดก หรือมีความรู้สึกทางเพศดีแต่มักเฉื่อย และค่อนข้างเกียจคร้าน
      
       คนธาตุน้ำควรรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว ช่วยแก้เสมหะ กัดฟอกเสมหะ กระตุ้นน้ำลายช่วยให้เจริญอาหาร แต่หากรับประทานมาก ทำให้ท้องอืด แสลงแผลร้อนใน
      
       ผักและผลไม้ที่ควรรับประทาน เช่น มะเขือเทศ ส้มโอ สับปะรด มะนาว ส้มเขียวหวาน ยอดมะขามอ่อน มะยม มะกอก มะดัน กระท้อน ผักพื้นที่บ้าน เช่น ขี้เหล็ก มะอึก แคบ้าน ชะมวง ผักติ้ว ยอดมะกอก ยอดมะขาม มะเขือเครือ สะเดาบ้าน มะระขี้นก มะระจีน มะแว้ง ใบยอ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง คือ รสมันจัด
      
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ แกงขี้เหล็กปลาย่าง แกงส้มดอกแค แกงอ่อมมะระขี้นก ผัดมะระใส่ไข่ ห่อหมกใบยอ แกงป่าสะเดาใส่ปลาหมอ ต้มโคล้งยอดมะขาม ใบยอผัดน้ำมันหอย มะยมเชื่อม สับปะรดกวน กะท้อนลอยแก้ว มะม่วงน้ำปลาหวาน มะม่วงกวน น้ำมะนาว น้ำใบบัวบก น้ำมะเขือเทศ น้ำมะขาม น้ำสับปะรด น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะเฟือง
      
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุน้ำ ในช่วงอายุแรกเกิด-16 ปี มักจะอาการเป็นหวัดคัดจมูก ตาแฉะ ในฤดูหนาว จะเจ็บป่วยง่ายเพราะธาตุน้ำกำเริบ
เปิดเมนูปรับสมดุลร่างกาย กินตาม “ธาตุเจ้าเรือน”
       ธาตุลม เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน คนธาตุลม มักมีรูปร่างโปร่ง ไม่อ้วน ผิวหนังแห้ง รูปร่างโปร่งผอม ผมบาง ข้อกระดูกมักลั่นเมื่อเคลื่อนไหว ขี้อิจฉา ขี้ขลาด รักง่ายหน่ายเร็ว ทนหนาวไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ ช่างพูด เสียงต่ำ ออกเสียงไม่ชัด มีลูกไม่ดก หรือความรู้สึกทางเพศไม่ค่อยดี
      
       คนธาตุลมควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน จะช่วยแก้โรคในกองลม อาทิ ลมจุกเสียด ปวดท้องลมป่วง แต่ต้องระวังด้วยเพราะหากรับประทานมากไปจะทำให้อ่อนเพลีย
      
       ผักและผลไม้ที่ควรรับประทาน ได้แก่ ชมพู่ แตงโม แตงไทย ผักพื้นบ้าน ได้แก่ ใบชะพลู ขมิ้นขาว ใบสะระแหน่ ใบแมงลัก ใบโหระพา ขิง ข่า ตะไคร้
      
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ แกงเผ็ดปลาดุกย่าง ต้มข่าไก่ ต้มยำกุ้ง แกงหอยขมใส่ใบชะพลู สมอไทยจิ้มน้ำพริก บัวลอยน้ำขิง เต้าฮวย เต้าทึง มันต้มขิง ถั่วเขียวต้มขิง เมี่ยงคำ น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำข่า น้ำกานพลู
      
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุลม ในช่วงอายุ 32 ปีขึ้นไป มักจะมีอาการเวียนหัว หน้ามืด เป็นลมง่าย ในฤดูฝน จะเจ็บป่วยง่าย เพราะธาตุลมกำเริบ
เปิดเมนูปรับสมดุลร่างกาย กินตาม “ธาตุเจ้าเรือน”
       ธาตุไฟ เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม คนธาตุไฟ มักมีลักษณะขี้ร้อน ทนร้อนไม่ค่อยได้ หิวบ่อย กินเก่ง ผมหงอกเร็ว มักหัวล้าน ผิวหนังย่น ผม ขน และหนวดอ่อนนิ่ม ไม่ค่อยอดทน ใจร้อน ข้อกระดูกหลวม กลิ่นปากกลิ่นตัวแรง ความต้องการทางเพศปานกลาง
       
       คนธาตุไฟควรรับประทานอาหารรสขม จะช่วยแก้โลหิตเป็นพิษ ดีพิการ และเพ้อครั่ง แต่อย่ารับประทานมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย นอกจากนี้ ต้องรับประทานอาหารเย็นและจืด เพราะจะช่วยแก้ร้อนใน แก้ไข้พิษ แก้ไขเลือดกำเดา ดับพิษร้อน
       
       ผลไม้และผักที่ควรรับประทาน เช่น แตงโม มันแกว พุทรา แอปเปิ้ล ผักพื้นบ้าน เช่น ผักบุ้ง ตำลึง ผักกระเฉด สายบัว ผักกาดจีน มะระ ผักปรัง มะรุม ทะเขือยาว ผักหนาม ยอดมันเทศ กระเจี๊ยบมอญ สะเดา ยอดฟักทอง หยวกกล้วย หม่อน กุ้ยช่าย
       
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ ผัดผักบุ้ง แกงจืดตำลึง ผักสายบัว แกงส้มมะรุม แกงจืดมะระ แกงส้มหยวกกล้วยใส่ปลาช่อน ยำผักกระเฉด ซาหริ่ม ไอศกรีม น้ำแข็งไส น้ำแตงโมปั่น น้ำใบบัวบก น้ำใบเตย น้ำเก๊กฮวย
       
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟ ในช่วงอายุ 16-32 มักจะหงุดหงิด อารมณ์เสียบ่อย เป็นคนเจ้าอารมณ์ในฤดูร้อนจะเจ็บป่วยง่ายอาจเป็นไข้ตัวร้อนได้ง่าย เพราะธาตุไฟกำเริบ
       
       รู้เช่นนี้แล้วใครอยู่ธาตุอะไร ลองนำข้อมูลและความรู้ครั้งนี้ไปปรับใช้เลือกรับประทานอาหาร ผัก และผลไม้ที่รสชาติสอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนของตนเองเพื่อช่วยในปรับสมดุลในร่างกายและป้องกันความเจ็บป่วย
ที่มา www.manager.co.thขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.manager.co.th

ล้างพิษตับ รุ่น 3 (เต็มแล้ว)

ล้างพิษตับ รุ่น 3 (เต็มแล้ว)


ตารางการเข้าร่วมคอร์ส  ล้างพิษตับ
กับทีมงานบ้านสุขภาพดี.com
หลักสูตร  คืน 3วัน
รุ่นที่ 3 ระหว่างวันที่ 17-19 มกราคม 2557
(ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์)


สิ่งที่ท่านต้องเตรียมตัว
                                                                                             
1. เพื่อให้การล้างพิษตับได้ผลดี ควรงดทานเนื้อสัตว์ 1 สัปดาห์ก่อนถึงวันล้างพิษตับ               
2. ในวันแรกของการล้างพิษตับ (17 ม.ค. 57) งดอาหารหนักหลังมื้อกลางวัน
          อาหารที่สามารถรับประทานได้  ได้แก่  ผลไม้  เช่น  มะละกอสุก   สัปปะรด   มะม่วงสุก  หรือน้ำผลไม้
            ผลไม้ทั้งสามอย่างมี เอนไซม์สามารถย่อยง่ายและดูดซึมได้ด้วยตัวเอง


ตารางกิจกรรม

 ล้างพิษวันแรก (17 ม.ค. 57)
·       15.00 น.  
พบกันที่บ้านสุขภาพดี. com      

·       15.00  -  18-00 น.
ลงทะเบียน ชั่งน้ำหนัก วัดความคัน ดื่มน้ำสมุนไพร/ผลไม้ และเสวนาเรื่องสุขภาพกับนักธรรมชาติบำบัด 
·       18.00 น.  
ดื่มน้ำสมุนไพร/ผลไม้
·       19.00 – 20.30 น.
บรรยายสาระน่ารู้เรื่องสุขภาพ โดยนักธรรมชาติบำบัด
·       20.30 น.
ดื่มน้ำเอนไซม์
·       21.00 น.
ทานสมุนไพรชำระไขมันในลำไส้ ครั้งที่ 1 แล้วเข้านอน



ล้างพิษวันที่สอง (18 ม.ค. 57)
·       5.00 – 6.00 น.
ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัว
·       6.00  7.00 น.
ตรวจวัดค่าความเป็นกรด/ด่างในร่างกาย
·       7.00  7.15 น.
ตักบาตรพระสงฆ์ โดยทางกลุ่มบ้านสุขภาพดีจะเตรียมอาหารสำหรับใส่บาตรให้กับทุกท่าน
·       7.15  8.00 น.
แช่เท้า และพอกหน้าด้วยสมุนไพร พร้อมทั้งดื่มชาข้าวกล้องงอก
·       8.00  9.00 น.
ทำธุระส่วนตัว
·       9.00  9.15 น.
ดื่มสมุนไพรดูดซับสิ่งตกค้างในลำไส้  ครั้งที่ 1
·       9.15  12.00 น.
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องสุขภาพกับนักธรรมชาติบำบัด ระหว่างการสนทนาเสิร์ฟน้ำสมุนไพร/ผลไม้
·       12.00  12.15 น.
ดื่มสมุนไพรดูดซับสิ่งตกค้างในลำไส้ ครั้งที่ 2
·       12.15  15.00 น.
พักผ่อนตามอัธยาศัย
·       15.00  15.15 น.
ดื่มสมุนไพรดูดซับสิ่งตกค้างในลำไส้ ครั้งที่ 3 และทานสมุนไพรชำระไขมันในลำไส้ครั้งที่ 2
·       15.15  17.00 น.
ร่วมกิจกรรมโดยทีมงานบ้านสุขภาพดี และระหว่างมื้อ ดื่มน้ำสมุนไพร/ผลไม้
·       17.00  18.00 น.
อบตัวด้วยสมุนไพร
·       18.00  18.15 น.
ดื่มน้ำสมุนไพรคุณบังเอิญครั้งที่ 1
·       18.15  20.00 น.
พักผ่อนตามอัธยาศัย และทำธุระส่วนตัว
·       20.00  20.15 น.
ดื่มน้ำสมุนไพรคุณบังเอิญครั้งที่ 2
·       20.15  22.00 น.
พักผ่อนตามอัธยาศัย ดื่มน้ำเปล่าได้เพียง 1 แก้วเท่านั้น
·       22.00 น.
ดื่มน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาว  และเข้านอน

                                                                         

ล้างพิษวันที่สาม (19 ม.ค. 57)
·       5.00 – 7.15 น.
ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัว เก็บอุจจาระ
·       7.15  8.00 น.
แช่เท้า และพอกหน้าด้วยสมุนไพร พร้อมทั้งดื่มชาข้าวกล้องงอก
·       8.00  11.00 น.
ทำธุระส่วนตัว พักผ่อนตามอัธยาศัย
·       11.00  น.
รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ที่บ้านสุขภาพดี  จัดเตรียมไว้
 *** ของฝากจากบ้านสุขภาพดี จะได้รับอาหารกลับบ้านท่านละ 1 ชุด
หมายเหตุ  กำหนดการและรายละเอียดอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม

ค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายสำหรับคอร์ส ล้างพิษตับ 3 วัน  ท่านละ 3,500 บาท (รวมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว)


จองคอร์ส ล้างพิษตับ
             สนใจจองคอร์ส ล้างพิษตับ ติดต่อโทร     081-355-2000    083-687-3002 คุณรัตติกาล
       




การโอนเงินค่าใช้จ่าย
                โอนเงินค่าใช้จ่ายจำนวน 3,500 บาท ที่         
                     ธนาคารกรุงเทพ สาขารามอินทรา
                    ชื่อบัญชี  นางรัตติกาล  เชาวนพงศ์ชัย
                    บัญชีออมทรัพย์  เลขที่ 187-0-26594-7

*** เมื่อโอนเงินแล้ว กรุณาแฟ็กซ์สำเนาใบนำฝาก ที่ Fax : 02-552-5360 ***

สถานที่จัดคอร์ส ล้างพิษตับ

                  บ้านสุขภาพดี เลขที่ 77/284-5 หมู่บ้านรุ่งสว่างวิลเลจ ซอยรามอินทรา 8 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสา่วรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10220


แผนที่  คลิกที่นี่

ดูรูป บ้านสุขภาพดี คลิกที่นี่