วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สูตรผสมผสาน "ล้างพิษตับ" เยอรมัน ไต้หวัน และไทย ให้มีประสิทธิภาพ (ตอนที่ 3) : ไม่ทำดีท็อกซ์ได้ไหม?

       ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
      
       ตั้งแต่สมัยโบราณ การทำความสะอาดของลำไส้มีอยู่ 2 วิธี ได้แก่ การใช้ยาฉีดสวนทวารหนัก (enema) และยาถ่าย (Catharitics) ชาวอินเดียแดงใช้ยาถ่ายที่ทำจากสมุนไพรผสมกับยา แต่เครื่องมือที่พบนั้นใช้สำหรับการสวนทวารและการให้อาหารผ่านทางหลอดเลือด มีหลักฐานอันเก่าแก่ระบุว่า ชาวอียิปต์มีทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ด้วยของเหลวสำหรับการสวนทวารหลายชนิดทั้งน้ำดีจากวัว โดยในแต่ละเดือนมีการสวนทวาร 3 วันติดต่อกันเพื่อป้องกันโรคที่อาจเกี่ยวเนื่องกับอาหาร
      
        ในราวปี พ.ศ. 739 ฉางจุงฉิน ผู้เป็นบิดาแห่งการแพทย์ของจีน ได้บันทึกเอาไว้ว่า เขาชอบใช้วิธีการสวนทวารมากกว่าการกินยาถ่าย 
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะวิธีนี้สะดวกรวดเร็วและได้ผลดีกว่า คำว่า enema นี้มาจากภาษากรีก แปลว่า "ส่งเข้า" เพราะชาวกรีกโบราณนิยมสวนทวารด้วยของเหลวพื้นคือน้ำเกลือ ซึ่งการใช้น้ำเกลือก็สอดคล้องกับการล้างลำไส้ในแพทย์แผนปัจจุบัน 
      
        แม้แต่ในยุโรปก็เคยมีการใช้สวนทวารล้างลำไส้ในการบำบัดรักษาโรคในศตวรรษที่ 18 อีกด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปดูเหมือนว่ามนุษย์จะใช้ยาถ่ายที่มีความสะดวกมากกว่า
ภาพที่ 1 หลักฐานภาพลายเส้นแสดงการสวนทวารล้างลำไส้ enema ในศตวรรษที่ 18
       แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ทำกันมานาน แต่เป็นความลำบากใจของผู้ที่เข้าหลักสูตรล้างพิษตับจำนวนไม่น้อยและทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ยังไม่กล้าเข้าอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อล้างพิษนั้นก็คือ ความหวาดกลัวกับการการสวนทวารแล้วเอาน้ำเข้าไปล้างลำไส้ที่เรียกว่าอีนีม่า (Enema) ซึ่งคนไทยนิยมเรียกว่าการดีท็อกซ์ (Detox)แทน เหตุก็เพราะว่าสมัยก่อนที่จะมีหลักสูตรล้างพิษตับนั้นมีความเชื่อว่าการใช้น้ำกาแฟในการสวนทวารล้างลำไส้นั้นสามารถกระตุ้นในตับขับพิษออกมาได้ แต่ต่อมาอาจมีคนท้วงติงฤทธิ์คาเฟอีนที่อาจมีผลเสียที่ลำไส้มีการดูดกลับด้วย จึงเห็นว่าน่าจะใช้น้ำอุ่นมากกว่าโดยเฉพาะน้ำที่มีฤทธิ์ด่างในการสวนทวารล้างลำไส้
      
        จนเกิดคำถามมาจำนวนไม่น้อยว่าไม่สวนทวารล้างลำไส้ได้ไหม?
ภาพที่ 2 อุปกรณ์ที่ใช้ในการสวนล้างในยุคปัจจุบัน ซ้ายมือคือขวดที่นิยมในการใช้สวนทวารล้างลำไส้ ขวามือคือแบบถุงที่ใช้ในการสวนทวารล้างลำไส้
       คำตอบคือ "ได้เหมือนกัน" ... แต่อาจก่อผลร้ายตามมาได้ด้วยในระหว่างการล้างพิษ เพราะเมื่อพิจารณาดูแล้วตัวอย่างกรณีการล้างพิษตับที่ไต้หวันเมื่อใช้เอนไซม์ผงที่ใช้ในการล้างลำไส้แล้วก็ไม่ได้มีการใช้ดีเกลือหรือการสวนล้างแต่ประการใด แต่เมื่อมีการทดลองโดยผมซึ่งเดินทางไปล้างพิษตับกับพลตรีจำลอง ศรีเมือง และคณะที่ไปทดลองล้างพิษตับที่ไต้หวันแล้ว ก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว บางคนปวดหัว บางคนอ่อนเพลีย เพราะพิษที่ออกมาจากตับซึ่งระหว่างเดินทางออกจากลำไส้นั้นใช้เวลานานทำให้ลำไส้มีการดูดสารพิษที่ขับออกมาจากตับ ดังนั้นหากไม่มีการสวนล้างแล้วปล่อยให้มีการถ่ายตามธรรมชาติด้วยยาถ่ายก็อาจจะต้องยอมรับในการดูดกลับของสารพิษเหล่านี้บางส่วนด้วย ส่งผลทำให้การขับสารพิษออกมาได้น้อยกว่าการสวนล้างลำไส้ เพราะถ้าใช้การสวนทวารล้างลำไส้เข้าช่วยแล้วก็จะช่วยกระตุ้นทำให้การนำพิษออกจากลำไส้เร็วขึ้น
ภาพที่ 3 เอนไซม์ผงใช้สำหรับผสมน้ำเพื่อล้างลำไส้ที่ไต้หวันโดยไม่มีการสวนทวารล้างลำไส้
       โดยเฉพาะภายหลังการดื่มน้ำมันมะกอกแล้วต้องบอกเลยว่า หากไม่มีการสวนทวารล้างลำไส้แล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากตับนั้นอาจไม่ได้ออกมาตามเวลาที่เรากำหนดเอาไว้เช่น 06.00 น. หรือ ในเวลา 10.00 - 10.30 น. นั่นหมายความว่าสารพิษที่ละลายในไขมันอาจอยู่ในลำไส้ที่ดูดกลับนานกว่าปกติ
      
        การสวนทวารล้างลำไส้จึงเปรียบเสมือนการแข่งกับเวลาว่าพิษที่ออกมาจากตับนั้น กลไกไหนจะเร็วกว่ากันระหว่าง "การขับถ่ายพิษออก" หรือ "การที่ลำไส้ดูดพิษกลับ" ดังนั้นการสวนล้างลำไส้จึงเป็นวิธีที่กระตุ้นที่เร่งการขับพิษให้ออกจากร่างกายให้เร็วที่สุด
      
        เรายังพบปัญหาของคนจำนวนมากว่าระหว่างการล้างพิษตับ ผู้ที่ได้รับผลกระทบเช่นน้ำเหลืองไหล ผื่นพิษขึ้น ลมพิษ ฯลฯ มักจะเกิดกับคนที่ขาดวินัยในการสวนล้างลำไส้ตามกำหนดระยะเวลาโดยเฉพาะในช่วงเช้าที่ต้องทำก่อน 7.00 น. ในทางตรงกันข้ามเมื่อเกิดอาการปวดหัวในระหว่างล้างพิษ หรือ เกิดลมพิษในระหว่างการอดอาหารก็มักจะพบว่าอาการเหล่านี้จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีการสวนทวารล้างลำไส้
      
        มีความกังวลอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับการติดเชื้อจากการสวนทวารล้างลำไส้ ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากก็เพียงแค่ทำความสะอาดขวดและสายยางซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการสวนล้างให้สะอาดก็ใช้ได้แล้ว
      
        บางคนก็มีความกังวลว่าการสวนทวารล้างลำไส้นั้นเป็นการฝืนกลไกการทำงานปกติของลำไส้หรือไม่ จนทำให้พฤติกรรมเราเปลี่ยนแปลงไปไม่สามารถขับถ่ายเองได้ แต่ความจริงแล้วการสวนล้างในช่วงล้างพิษนั้นเป็นการทำความสะอาดลำไส้ที่เราไม่เคยทำมาก่อน และเป็นการเร่งเอาสารพิษและกากอาหารที่หมักหมมอยู่นาน หรือพิษที่ถูกขับออกมาจากตับให้ออกจากลำไส้ให้เร็วที่สุดในเวลาที่กำหนด ดังนั้นหากพ้นจากหลักสูตรไปแล้วก็ให้ทำการสวนทวารล้างลำไส้หลังจากขับถ่ายปกติเสร็จสิ้นก่อน เพื่อให้กลไกการขับถ่ายเป็นปกติ และให้ถือการสวนทวารล้างลำไส้เป็นขั้นตอนทำความสะอาดลำไส้เพิ่มเติม
      
        โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการล้างลำไส้แล้วในช่วงแรกในลำไส้อาจมีแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้น้อยอยู่ ดังนั้นจึงได้มีการแนะนำให้มีการสวนล้างลำไส้เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ในช่วง 7 วันแรก บางคนประมาทไม่ได้ทำการสวนล้างก็สามารถพบอาการผื่นขึ้น ปวดศีรษะ น้ำเหลืองปะทุ ฯลฯ หลังออกจากหลักสูตรล้างพิษตับได้ด้วยเช่นกัน
      
        มีคำถามว่าการสวนทวารล้างลำไส้นั้นควรใช้น้ำอะไรดีที่สุด คำตอบคือน้ำอุ่นที่ไม่ใช่น้ำประปา น้ำที่ถือว่าเหมาะสมที่สุดในการสวนทวารล้างลำไส้คือน้ำที่ทำจากเครื่องทำน้ำด่างที่ผ่านกระบวนการ Water Ioinizer เบอร์สูงสุดผสมน้ำร้อนเล็กน้อยพออุ่น โมเลกุลของน้ำจะละเอียดมาก ทำให้แรงตึงผิวต่ำ สามารถทำปฏิกิริยากับสารพิษซึ่งส่วนใหญ่ออกฤทธิ์เป็นกรด มีประสิทธิภาพทำให้น้ำกับน้ำมันเป็นเนื้อเดียวกันได้ จึงน่าจะเป็นน้ำที่มีคุณสมบัติเหมาะที่สุดในการล้างลำไส้ในเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลักสูตรล้างพิษตับได้เลือกใช้น้ำมันมะกอกในการกระตุ้นให้ตับขับน้ำดีและสารพิษที่ละลายในไขมันออกมาได้ตรงประเด็นกว่า การใช้กาแฟเพื่อวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นตับจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
ภาพที่ 4 ด้านซ้ายการทดสอบน้ำด่าง pH 11.59 กับน้ำมันเป็นเนื้อเดียวกัน ด้านขวาป็นน้ำดื่มปกติกับน้ำมันที่แยกชั้นกัน
       แต่ถ้าสมมุติว่าไม่มีเครื่องทำน้ำด่างที่ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้หัวเชื้อน้ำด่างผสมกับน้ำก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน แม้ว่าหัวเชื้อน้ำด่างจะไม่ได้ค่า ORP (Oxidation Reduction Potential) ที่มีค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าเป็นประจุลบที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระเหมือนกับเครื่องทำน้ำด่าง แต่ก็ยังมีค่า pH เมื่อผสมกับน้ำตามสัดส่วนแล้วอาจได้ประมาณ 9.0ถือว่า ยังดีกว่าการใช้น้ำธรรมดาทั่วไป ทั้งนี้พึงระวังว่าหัวเชื้อน้ำด่างล้วนๆไม่สามารถนำมาสวนล้างได้ เพราะอาจเกิดการกัดผนังลำไส้อย่างรุนแรงต่างจากน้ำด่างที่ทำจากเครื่อง Water Ionizer ดังนั้นการใช้หัวเชื้อน้ำด่างจำต้องใช้ผสมน้ำตามสัดส่วนที่กำหนดเอาไว้ในสลากเท่านั้น
      
        และถ้าสมมุติว่าไม่มีหัวเชื้อน้ำด่างก็แนะนำน้ำดื่มแร่ยี่ห้อมิเนเร่ ค่า pH 8.71 
ซึ่งจะมีค่าความเป็นด่างสูงกว่าน้ำดื่มทั่วไป แม้จะด้อยกว่าหัวเชื้อน้ำด่าง แต่ก็ยังดีกว่าการสวนล้างด้วยน้ำธรรมดาทั่วไป
      
        แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในแนวทางปัสสาวะบำบัดก็จะใช้น้ำปัสสาวะในการสวนทวารล้างลำไส้ ก็มีผลลัพธ์ของการสวนล้างได้มีประสิทธิภาพมากๆ เช่นกัน
      
        มีบางคนอาจมีอาการเหมือนจะเป็นลม หรืออาเจียน ในระหว่างการสวนล้าง จากการสำรวจพบว่าคนเหล่านี้ใช้ปริมาณน้ำมากไป ซึ่งลำไส้ที่ไม่สะอาดนั้นอาจมีแก๊สอยู่มากดังนั้นการอัดน้ำเข้าไปในลำไส้จำนวนมากๆ อาจทำให้เกิดแรงอัดจนกระทั่งเกิดความอึดอัดขึ้นได้ ดังนั้นให้ใช้น้ำตามสภาพของลำไส้ของแต่ละคน สำหรับคนที่มีสภาพดังกล่าวก็สามารถป้องกันความเสี่ยงโดยอาจแบ่งน้ำออกเป็น 3 ส่วน คือ ครั้งที่หนึ่ง 500 ซีซี แล้วขับถ่ายหนึ่งครั้ง ครั้งที่สอง 500 ซีซี แล้วขับถ่ายเป็นครั้งที่สอง และครั้งที่สามอีก 500 ซีซี ก็อาจปลอดภัยกว่า แต่สำหรับคนที่มีประสบการณ์แล้วอาจใช้น้ำได้ถึง 700 ถึง 1,200 ซีซี และสำหรับบางคนก็อาจใช้ได้ถึง 1,500 ซีซี ดังนั้นปริมาณน้ำที่ใช้สวนล้างของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน และอาจเหมาะกับสภาพของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
      
        และเมื่อน้ำเข้าไปในลำไส้แล้วความสามารถในการอั้นเอาไว้เพื่อให้เกิดการล้างลำไส้ของแต่ละคนก็คงไม่เท่ากัน ตามความเชื่อของหลายคนเชื่อว่าการอั้นไว้ได้นาน 12-15 นาที น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่ความจริงแล้วก็ไม่จำเป็นเสมอไปขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดั้งนั้นสรุปว่าอั้นไว้เท่าที่จะทนได้
      
        ข้อสำคัญที่สุดการขับถ่ายหลายครั้งจากยาถ่าย เช่น เอนไซม์ ยาชำระเมือกมัน ดีเกลือ หากปล่อยให้มีการขับถ่ายตามธรรมชาติ อาจทำให้ต้องขับถ่ายหลายครั้งแบบกระปริดกระปรอย นอกจากจะสร้างความรำคาญแล้ว ยังจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและแสบได้ ดังนั้นการใช้น้ำสวนทวารล้างลำไส้จึงเป็นหนทางในการลดจำนวนครั้งของการถ่ายลงเพราะเป็นการเร่งดึงการขับถ่ายให้ออกมาในคราวเดียว ซึ่งจะทำให้ลดจำนวนครั้งของการขับถ่ายลง และลดความอึดอัดในการขับถ่ายระหว่างการล้างลำไส้ได้ด้วย
      
        ในทัศนะของผมเองแล้วจึงแนะนำว่าการสวนทวารล้างลำไส้ยังมีความเหมาะสมและจำเป็นอยู่สำหรับการล้างพิษตับ เพราะทำให้กระบวนการล้างพิษตับนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก www.manager.co.th

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สูตรผสมผสาน "ล้างพิษตับ" เยอรมัน ไต้หวัน และไทย ให้มีประสิทธิภาพ (ตอนที่ 2) : ทางเลือกในการล้างลำไส้

       ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
      
       ลำพังเฉพาะการอดอาหารก็ถือได้ว่าเป็นกระบวนการล้างพิษและล้างลำไส้ไปแล้วในขั้นตอนหนึ่ง แต่สำหรับที่เยอรมันแล้วไม่ได้มียาถ่ายหรือการใช้สมุนไพร หรือแม้กระทั่งการใช้เอนไซม์จากไต้หวันเหมือนเมืองไทย ดังนั้นการในสูตรเยอรมันจึงต้องเน้นการใช้ดีเกลือเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายสำคัญคือเพื่อให้แน่ใจว่าลำไส้สะอาดจริงก่อนที่จะมีการดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อล่อน้ำดี นิ่ว และสารพิษที่ละลายในไขมันให้ออกมากับน้ำดี อันจะเป็นการป้องกันไม่ให้พิษที่ออกมาจากตับนั้นตกค้างอยู่ตามผนังลำไส้และทำให้ลำไส้ดูดกลับสารพิษเหล่านั้นเข้าสู่เส้นเลือดดำ ดังจะเห็นได้จากสูตรของ อันเดรียส์ มอริสต์ ชาวเยอรมัน จึงได้ระบุว่าหากยังไม่ได้มีการขับถ่ายให้ทำการสวนล้างในเวลา 21.30 น.ก่อนดื่มน้ำมันมะกอก ดังนั้นจึงทำให้เราเข้าใจได้ว่า การดื่มดีเกลือของสูตรเยอรมันนั้นมีเป้าหมายเป็นยาถ่ายเพื่อให้แน่ใจว่าลำไส้สะอาดแล้วเท่านั้น
ภาพที่ 1 ซ้ายมือ: อันเดรียส์ มอริสต์ ชาวเยอรมันผู้ทรงอิทธิพลด้านการล้างพิษตับและถุงน้ำดีโดยใช้น้ำมันมะกอก, ขวามือ : ดีเกลือสำหรับล้างลำไส้
       เพราะการที่ต้องทำให้ลำไส้สะอาดนั้นย่อมเท่ากับเป็นการเปิดทางที่ทำให้สารพิษและไขมันที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดีหลังดื่มน้ำมันมะกอกนั้นสามารถถูกขับออกจากร่างกายให้มากที่สุด และให้มากกว่าที่มีการดูดกลับตามผนังลำไส้ ดังนั้นถ้าลำไส้สกปรกก็จะทำให้สารพิษและไขมันที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดีถูกผนังลำไส้ดูดกลับทำให้เกิดอาการข้างเคียง ไม่สบายตัว และอาจเกิดการปะทุพิษขึ้นได้ด้วย
      
        แต่ดีเกลือแม้จะมีคุณสมบัติเป็นที่เป็นยาถ่ายและสามารถนำมาใช้ล้างสารพิษได้ดี แต่อาจไม่เหมาะสำหรับบางคน ที่มีอาการแพ้ดีเกลือแมกนีเซียมซัลเฟต
 ได้แก่ หัวใจเต้นช้า, หน้าแดง, ปวดศีรษะ, คลื่นไส้, อาเจียน, ไม่มีแรง, หายใจสั้น เหงื่อออก, ความดันเลือดต่ำ, อาการไม่รู้สึก (stupor), กดการตอบสนอง (depressed reflexes), อุณหภูมิต่ำ นอกจากนี้ดีเกลือที่เป็น แมกนีเซียมซัลเฟต อาจไม่เหมาะกับ ผู้ป่วยที่เกิด ภาวะการฉีดโลหิตของห้องหัวใจล่างและบนไม่ประสานกัน หรือมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่องอย่างรุนแรง
      
        ในทำนองเดียวกันดีเกลือของไทยไม่ได้ใช้ แมกนีเซียมซัลเฟต แต่ใช้โซเดียมซัลเฟต ซึ่งส่งผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูงขึ้น แม้จะมีคุณสมบัติในการล้างพิษได้แต่ก็อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง โรคไต และโรคหัวใจ เช่นกัน

ภาพที่ 2 เอนไซม์ผงสำหรับล้างลำไส้ที่ไต้หวัน
       แม้ว่าดีเกลือ แมกนีเซียมซัลเฟต จะไม่ได้ใช้ปริมาณมากในหลักสูตรล้างพิษตับ แต่ที่ไต้หวันก็ได้เห็นความเสี่ยงที่มีโอกาสที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นที่ไต้หวันจึงไม่ได้มีการใช้ดีเกลือที่เป็นแมกนีเซียมซัลเฟตเลย และเลือกใช้เอนไซม์ในการย่อยสลายกากอาหารและสิ่งตกค้างในลำไส้จนสะอาดแทน ซึ่งก็ได้รับผลดีโดยไม่ต้องมีการใช้ดีเกลือแต่ประการใด
      
        เอนไซม์ผงจากไต้หวันนั้นทำจากผลไม้และพืชหลายชนิดโดยใช้ระบบแช่เย็นและดูดความชื้นออกเพื่อรักษาเอนไซม์เป้าหมายโดยเฉพาะ เช่น เอนไซม์จากมะละกอ ที่ช่วยย่อยโปรตีน และเอนไซม์พืชอื่นๆที่ช่วยย่อยกากอาหารที่ไม่มีชีวิตแล้ว เมื่อย่อยสลายออกแล้วก็มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายด้วย

      
        อย่างไรก็ตามนับเป็นความฉลาดหลักแหลมอย่างยิ่งที่ชาวศีรษะอโศกได้เป็นผู้นำผงซิลเลียม (Psyllium Husk) ซึ่งเป็นธัญพืชที่มีคุณสมบัติเมื่อโดนน้ำแล้วจะพองตัวเป็นเจล มาผสมกับสมุนไพรไทยในการพองตัวดูดสารพิษและเป็นยาถ่ายไปในตัว โดยใช้ในชื่อที่เรียกกันในวงการว่า "ลิดท็อกซ์ (Lidtox)" ซึ่งมีองค์ประกอบไปด้วย ผงซิลเลียม (Psyllium Husk) 50%, เปลือกมะนาว (Lemon Peel) 10%, ผงขี้เหล็ก 10%, ผงขมิ้น 10%, ผงมะรุม 10% ด้วยคุณสมบัติของลิดท็อกซ์ที่พองตัวในลำไส้ในระหว่างการอดอาหาร จึงเท่ากับเป็นการกวาดกากของเสียในลำไส้ออกได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังทำให้ไม่เกิดอาการหิวในระหว่างการอดอาหารเพราะการพองของซิลเลียมอีกด้วย
ภาพที่ 3 ลิดท็อกซ์สำหรับล้างลำไส้
       แต่ก็ใช่ว่า ลิดท็อกซ์จะเหมาะกับทุกคน เพราะบางคนอาจรู้สึกไม่ชอบรสชาติของลิดท็อกซ์และรู้สึกรับประทานยากก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคนที่มีภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ หรือธัยรอยด์ฮอรโมนต่ำแฝง (มีอุณหภูมิตอนเช้าเฉลี่ยต่ำกว่า 36.4 องศาเซลเซียส) ซึ่งมีการอัตราการเผาผลาญพลังงานต่ำ คนเหล่านี้มีการเคลื่อนตัวและของลำไส้ช้ากว่าคนปกติเพราะมีพลังงานน้อย หากดื่มลิดท็อกซ์เข้าไปแล้วเกิดการพองตัวขึ้น ก็มีโอกาสที่ลิดท็อกซ์อาจติดค้างอยู่ในลำไส้นานกว่าคนปกติ
      
        ซึ่งจะเป็นผลเสียของลิดท็อกซ์ในผู้ที่มีภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ มีสองประการ ประการที่หนึ่งคือ สิ่งสกปรกที่ได้จากการกวาดของลิดท็อกซ์อาจอยู่นานกว่าคนปกติจนทำให้ลำไส้ดูดกลับสารพิษได้ง่าย
 โดยเฉพาะคนที่มีภาวะลำไส้รั่วร่วมด้วยก็ยิ่งทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในลำไส้ได้ง่ายขึ้น ผลก็คือภูมิต้านทานจะเข้าโจมตีทันทีทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น การปวดหัว ลมพิษ ผื่นแพ้ น้ำเหลืองปะทุ หอบหืด ฯลฯ ประการที่สอง คือ เมื่อล้างพิษตับตามกำหนดเวลาแต่ปรากฏว่า "ขบวนลิดท็อกซ์" ที่พองและกวาดล้างลำไส้อยู่นั้นยังไม่ออกจากลำไส้ ทำให้พิษที่ออกมาจากตับซึ่งอยู่ในรูปของเหลวที่เคลื่อนตัวเร็วกว่าติดอยู่ตามขบวนลิดท็อกซ์ที่ยังไม่ออกจากลำไส้เหล่านั้น ส่งผลทำให้ลำไส้ดูดกลับสารพิษและไขมันที่ขับออกมาจากตับเข้าเส้นเลือดดำ ทำให้ไม่สบายตัว จะเป็นลม ปวดหัว ผื่นขึ้น ลมพิษ น้ำเหลืองปะทุ หอบหืดได้ คนเหล่านี้จะสังเกตได้ประการหนึ่งคือ หลังการดื่มลิดท็อกซ์แล้วไม่มีอะไรขับถ่ายออกมาหรือขับถ่ายออกมาได้น้อย ครั้นเมื่อดื่มน้ำมันมะกอกแล้วก็ไม่มีอะไรขับถ่ายออกมาเช่นกันตามเวลาเหมือนกับคนอื่นเช่นกัน
      
        ดังนั้นการจัดหลักสูตรล้างพิษอาจจะต้องจัดการให้ผู้ที่มีภาวะธัยรอดย์ฮอร์โมนต่ำดื่มลิดท็อกซ์ล่วงหน้าก่อนวันที่จะดื่มน้ำมันมะกอก 1 วัน หรือไม่ก็ต้องคอยสังเกตให้แน่ใจว่ามีการขับถ่ายออกมาของขบวนลิดท็อกซ์ก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนที่จะดื่มน้ำมันมะกอก และอาจต้องใช้การกดจุดคลายเส้นบริเวณท้องเพื่อช่วยการเคลื่อนตัวของลำไส้ให้ดีขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจปัญหานี้ด้วย
      
        แต่หลักสูตรล้างพิษที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี จึงยังคงใช้ดีเกลือเป็นยาถ่าย และยาชำระเมือกมันร่วมด้วย เพื่อขับการพองตัวของลิดท็อกซ์ให้ออกจากลำไส้ใหญ่ได้สะดวกขึ้น โดยยาชำระเมือกมันนั้นเป็นยาเพิ่มพลังงานในการขับมูกเมือก (Mucus) ซึ่งดักจับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ ดังนั้นยาชำระเมือกมันที่เป็นยาเพิ่มพลังงานที่มีส่วนผสมสมุนไพรฤทธิ์ร้อน จึงช่วยการเคลื่อนตัวของลำไส้ให้สามารถขับลิดท็อกซ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ และธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำแฝง และสำหรับผู้ที่แพ้ดีเกลือหรือไม่ชอบรสชาติของดีเกลือก็สามารถจะรับประทานยาชำระเมือกมันแทนได้
ภาพที่ 4 ซ้ายมือ : ยาชำระเมือกมัน (สูตรหมอปาน), ขวามือ : ภาพเมือกมัน Mucus ที่ดักจับสารพิษตามผนังลำไส้ของผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ
       ยาชำระเมือกมัน ซึ่งจัดทำโดย หมอปาน หรือ คุณจิตรา ปลอดอักษร แพทย์แผนไทย บ.ว.14584 นั้น มีสมุนไพรที่ประกอบไปด้วย เบญจกูล ยาดำ มหาหิงค์ พริกไทย รงทอง โกฏทั้งห้า สมอไทย ดองดึง อุตพิษ บุกรอ เทียนขาว-ดำ สมุนแว้ง และตัวยาอื่นๆ มีสรรพคุณคือ แก้อัมพฤกษ์ อัมพาต ถ่ายน้ำเหลืองเสีย พิษตกค้าง ท้องผูก พรรดึกเป็นเถาดาน ภูมิแพ้ ความดัน เบาหวาน นอนไม่หลับ
ภาพที่ 5 สภาพลำไส้ของคนที่มีประวัติรับประทานเนื้อสัตว์เป็นประจำ
      
ภาพที่ 6 สภาพลำไส้อักเสบและมีภาวะลำไส้รั่วของผู้ที่มีประวัติดื่มนมวัวต่างน้ำ
       การล้างลำไส้ให้สะอาดเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในขั้นตอนการล้างพิษตับ ดังนั้นเราสามารถประยุกต์ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน การใช้ลิดท็อกซ์ในการกวาดออก ใช้ยาชำระเมือกมันให้พลังงานในการขับออก และดีเกลือ จึงเป็นสิ่งที่ลงตัวอย่างยิ่งสำหรับหลักสูตรในโรงเรียนผู้นำของชาวอโศก
      
        แต่สำหรับผู้ที่ไม่ชอบรสชาติของลิดท็อกซ์และดีเกลือ เรายังสามารถประยุกต์ได้จากสูตรที่ไต้หวันโดยใช้เอนไซม์เพื่อย่อยสลายกากอาหารและสิ่งสกปรกในลำไส้ แล้วใช้ยาชำระเมือกมันเป็นพลังงานในการขับออก ก็สามารถล้างลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
      
        ข้อสำคัญประการหนึ่งในการล้างลำไส้ จะต้องเข้าใจด้วยว่าการขับถ่ายมากๆ โดยเฉพาะการกวาดล้างลำไส้นั้น ไม่ได้นำเฉพาะของเสียออกมาแต่เพียงอย่างเดียว แต่ได้ดึงเอาจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายออกมาด้วย 
ดังนั้นร่างกายในระหว่างที่จะมีจุลินทรีย์เกิดขึ้นใหม่ จำเป็นต้องคำนึงถึงอาหารที่ดีเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ในลำไส้หลังจากจบหลักสูตรล้างพิษแล้วด้วยโดยเฉพาะผักและผลไม้สด ซึ่งในบางกรณีหากมีจำนวนปริมาณจุลินทรีย์ที่น้อยเกินไปอาจเสริมด้วยการรับประทานจุลินทรีย์โปรไบโอติกเพิ่ม บางคนอาจดื่มนมเปรี้ยวเพื่อเพิ่มจำนวนปริมาณแลคโตบาซิลลัสในลำไส้ได้ แต่โปรตีนในนมอาจไม่เหมาะกับลำไส้ของคนเอเชีย ดังนั้นทางเลือกอื่นก็ยังมีคือดื่มน้ำหมักจุลินทรีย์ที่สะอาดและได้มาตรฐาน หรือไม่ก็เป็นประเภทจุลินทรีย์บรรจุลในแคปซูล ก็จะช่วยทำให้หลังล้างพิษตับแล้วกลไกในการทำงานของลำไส้จะได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
      
        เมื่อลำไส้สะอาดแล้วก็จะทำให้ปัญหาผลข้างเคียงที่จะเกิดระหว่างและหลังการล้างพิษตับลดน้อยลงอย่างแน่นอน!!!

ที่มา : www.manager.co.th
         ขอขอบคุณรูปภาพ และบทความประกอบจาก www.manager.co.th

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สูตรผสมผสาน "ล้างพิษตับ" เยอรมัน ไต้หวัน และไทย ให้มีประสิทธิภาพ (ตอนที่ 1) : เทคนิคการอดอาหาร

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       ผมได้มีโอกาสล้างพิษตับอยู่พอสมควร และทดลองในหลายวิธีที่มีความแตกต่างกัน พบว่าแท้ที่จริงแล้วการล้างพิษไม่ได้มีความตายตัว เพราะวิวัฒนาการและพัฒนาการนั้นไม่ควรจะอยู่นิ่ง ตราบใดที่เรามีงานวิจัยหรือการค้นคว้าใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา
       
        โดยเฉพาะในเวลานี้การล้างพิษตับเป็นที่เผยแพร่และนิยมอยู่มาก ดังนั้นผู้ที่จัดหลักสูตรแม้จะสามารถปรับปรุงหลักสูตรให้พัฒนากว่าต้นฉบับเดิมได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหลังล้างพิษด้วย เพราะการล้างพิษตับควรคำนึงความปลอดภัยมากกว่าการหวังผลที่จะมีผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาหลังล้างพิษตับ
       
        ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงไม่เคยห้ามใครในการพัฒนาจัดหลักสูตรล้างพิษของตัวเอง เพราะถือว่าการพัฒนาเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา แต่หากพบผลกระทบในทางลบที่ชัดเจนหรือปัญหา ด้วยเงื่อนไขใด ป้องกันอย่างไร และแก้ไขอย่างไร ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแจ้งบอกกล่าวให้ประชาชนที่สนใจในเรื่องนี้ได้รับทราบโดยทั่วกันอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
    
        เพราะคนแต่ละคนมีสภาพที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นสูตรล้างพิษตับที่เหมาะกับคนกลุ่มหนึ่งอาจไม่เหมาะกับคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ บางสูตรอาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนกลุ่มหนึ่งแต่สูตรเดียวกันก็อาจเป็นอันตรายกับคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้เช่นกัน

       
        ดังนั้นความสำคัญไม่น่าจะอยู่ที่ว่าสูตรของใครที่ไหนดีที่สุด แต่ความสำคัญน่าจะอยู่ที่ว่าผู้ที่จัดหลักสูตรมีความเข้าใจอย่างละเอียดถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในสูตรของตัวเองเพียงใด สูตรของตัวเองเหมาะกับใคร และไม่เหมาะกับใคร
       
        แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือผู้ที่จัดหลักสูตรควรมีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญจริงที่จะสามารถรับมือเมื่อเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดได้ และต้องตัดสินใจที่จะให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ตรงนั้นน่าจะเป็นหัวใจสำคัญเสียยิ่งกว่า
    
        ผมเห็นข้อเด่นในหลักสูตรล้างพิษตับของอันเดรียส์ มอริสต์ ชาวเยอรมัน
ตรงที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง "การเตรียมตัว" ก่อนการอดอาหาร 6 วัน หลักสูตรนี้จึงสามารถอดอาหารสั้นเพียงไม่ถึง 1 วัน เพราะสูตรนี้จะเน้นการทำให้ลำไส้สะอาด และการอดอาหารสั้นก็เน้นวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้แน่ใจว่าลำไส้สะอาดจริงจากการเตรียมตัวปรับอาหารและพฤติกรรมล่วงหน้ามา 6 วันแล้ว มากกว่าวัตถุประสงค์ในการอดอาหารยาวเพื่อเผาผลาญไขมันหรือสลายสารพิษในร่างกาย และใช้การดื่มน้ำมันมะกอกผสมกับ "เกรปฟรุต" หรือ ผสมกับ"น้ำมะนาวผสมน้ำส้ม" เป็นตัวล่อให้ตับและถุงน้ำดีขับน้ำดีและสารพิษออกมา โดยใช้ "ดีเกลือ" เป็นยาถ่ายเพื่อทำให้ลำไส้สะอาดและใช้ขับสารพิษออกจากร่างกายหลังดื่มน้ำมันมะกอกอีกรอบหนึ่ง
       
        ผมเห็นข้อเด่นในหลักสูตรล้างพิษตับของไต้หวัน ตรงที่ใช้ความรู้และความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ โดยการใช้เอนไซม์มาประยุกต์ในการล้างพิษตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้เอนไซม์น้ำที่ทำจากพืชผักผลไม้เกือบ 150 ชนิด เพื่อใช้เป็นสารอาหารโมเลกุลสายสั้นที่สามารถถูกดูดซึมเข้าร่างกายได้เร็วที่สุดในระหว่างการอดอาหารพักการย่อยจนไม่รู้สึกหิว แล้วอดอาหารเพียง 1 วัน โดยใช้เอนไซม์ผงจากพืชหลายชนิดผสมน้ำเพื่อทำหน้าที่ย่อยสลายกากอาหารตกค้างในลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องอาศัยดีเกลือเลย ในขณะเดียวกันก็ยังคงใช้การดื่มน้ำมันมะกอกผสมกับผงแอปเปิ้ลละลายในน้ำเพื่อล่อตับและถุงน้ำดีในการขับน้ำดีและสารพิษออกจากร่างกาย แล้วใช้เอนไซม์ผงในการย่อยสลายสารพิษและขับสารพิษออกจากร่างกายหลังดื่มน้ำมันมะกอก แต่เนื่องจากที่ไต้หวันไม่ได้มีการสวนทวารล้างลำไส้ ดังนั้นจึงมีการอดอาหารเพื่อล้างพิษต่ออีก 7 วัน โดยดื่มแต่น้ำเอนไซม์แต่เพียงอย่างเดียว
       
        ผมเห็นข้อเด่นหลักสูตรล้างพิษของชาวอโศก ตรงที่ผสมผสานภูมิปัญญาของหลายชาติเข้ากับภูมิปัญญาได้อย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่การอมน้ำมันมะพร้าว แช่เท้าด้วยน้ำร้อนสมุนไพร พอกหน้าด้วยสมุนไพร นวดกดจุดคลายเส้น (กัวซา) ดื่มสมุนไพร และน้ำผลไม้ที่หลากหลายในระหว่างการอดอาหาร แม้ในหลักสูตรนี้จะไม่ได้มีการเตรียมตัวล่วงหน้ามาเหมือนกับ เยอรมัน แต่หลักสูตรนี้ได้เน้นการล้างลำไส้ให้สะอาด ด้วยการสวนทวารล้างลำไส้ ใช้ยาชำระเมือกมันเพิ่มกำลังในการขับสารพิษ และดื่มลิดท็อกซ์ซึ่งเป็นธัญพืชที่มีองค์ประกอบสำคัญคือซิลเลียมให้พองในลำไส้เพื่อกวาดกากอาหารและสารพิษในลำไส้ออกจากร่างกาย แล้วยังมีการดื่มดีเกลือก่อนดื่มน้ำมันมะกอกอีกด้วย มีการอดอาหารประมาณไม่เกิน 72 ชั่วโมงต่อเนื่องกันเพื่อล้างพิษและทำให้ลำไส้สะอาด และมีการดื่มน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาวและน้ำส้ม
       
        ความแตกต่างของแต่ละสูตรนั้นก็เหมาะกับคนแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันในหลายประการ ในตอนนี้จะขอวิเคราะห์เฉพาะความแตกต่างในเรื่อง "การอดอาหาร" ก่อน
       
        การอดอาหารยาวกว่าของชาวอโศกไม่เกิน 72 ชั่วโมงนั้นทำให้ร่างกายได้พักจากการย่อยได้เต็มที่แม้จะไม่ได้มีการเตรียมตัวมาล่วงหน้าเหมือนกับสูตรของเยอรมันก็ตาม แต่การที่หลักสูตรที่ชาวอโศกไม่ได้เน้นการเตรียมตัวล่วงหน้าอาจทำให้บางคนหลงผิดคิดรับประทานอาหารแบบอัดเข้าไปในร่างกายมากๆเพื่อเตรียมสำรองเอาไว้ในช่วงการอดอาหารซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในระหว่างล้างพิษเพราะลำไส้ไม่สะอาดเพียงพอได้
       
        ส่วนที่ไต้หวันนั้นก็มีการอดอาหารหลังจากล้างพิษตับไปแล้วถึง 7 วัน ก็เพื่อทำให้การเผาผลาญสารพิษตกค้างที่ออกมาจากตับแล้วลำไส้ดูดกลับหลังดื่มน้ำมันมะกอก อันถือเป็นวิธีการที่ชดเชยการสวนล้างลำไส้ของชาวอโศกอีกวิธีหนึ่งได้เหมือนกัน
       
        อย่างไรก็ตามสูตรของชาวอโศกที่มีการอดอาหารไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนล้างพิษตับ มีจุดเด่นคืออดอาหารเผาผลาญไขมันและสารพิษและล้างลำไส้ให้สะอาดเปรียบเสมือนการเตรียมตัวให้ท่อสะอาดก่อนที่สารพิษที่ละลายในไขมันที่ออกมาพร้อมกับน้ำดีออกมา เพื่อทำให้สารพิษที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดีเดินทางผ่านลำไส้ได้สะดวก ไม่ติดค้างอยู่ตามผนังลำไส้และสามารถขับออกได้เร็วที่สุด ในขณะที่ไต้หวันกลับมีความคิดอีกอย่างคืออดอาหารสั้นเพียง 1 วัน แต่มาเน้นการอดอาหารหลังจากนั้น 7 วัน เพื่อเผาผลาญสารพิษที่ละลายในไขมันและไขมันที่ออกมาจากตับและอาจมีการดูดกลับในลำไส้
       
        การอดอาหารของชาวอโศกและของไต้หวันนั้นไม่ได้อดแบบร้อยเปอร์เซนต์เสียทีเดียว เพราะการลดปริมาณแคลลอรี่ลงโดยไม่ให้มีการย่อยกากอาหารใหม่เช่นเดียวกับไต้หวัน เพียงแต่การอดอาหารชาวอโศกใช้ลิดท็อกซ์ที่มีคุณสมบัติพองในลำไส้ซึ่งทำให้ไม่เกิดอาการหิว แต่ในขณะที่การอดอาหารของไต้หวันให้ดื่มน้ำเอนไซม์ที่มาจากพืชผัก สมุนไพร ถึง 150 ชนิดด้วยสายโมเลกุลที่สั้นจึงทำให้ไม่หิวและสามารถอดอาหารได้ยาวถึง 7 วัน
    
        แม้ว่าการอดอาหารในหลักสูตรล้างพิษของชาวอโศกและไต้หวัน ไม่ใช่การอดอาหารอย่างแท้จริง เพราะยังมีสารอาหารอยู่จากน้ำผลไม้หรือน้ำเอนไซม์ แต่ก็พึงจะต้องระวังผลกระทบโยโย่ "Yo yo Effect" คืออดอาหารจนร่างกายเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน คือเกิดภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำลงทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานลดน้อยลง (ตามงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ ปี พ.ศ. 2551)
 ดังนั้นหากจะคิดอดอาหารในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ต้องคิดถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินหลังการอดอาหารด้วย มิเช่นนั้นหากยังกินในปริมาณเท่าเดิมเหมือนก่อนอดอาหารโดยทันที ทั้งๆที่การเผาผลาญพลังงานลดต่ำลงแล้ว ก็อาจทำให้อ้วนง่ายขึ้น หรือ อาจจะมีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้มากกว่าก่อนอดอาหารเสียอีก
       
        แต่สำหรับคนที่เป็นโรคธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ หรือ ธัยรอยด์ฮอรโมนต่ำแฝงอยู่แล้ว (โดยเฉพาะคนที่มีการวัดอุณหภูมิโดยเฉลี่ย 5 วันตอนเช้าต่ำกว่า 36.4 องศาเซลเซียส) คือมีภาวะการเผาผลาญพลังงานต่ำอยู่เดิมนั้น จากประสบการณ์ของผมพบว่าการอดอาหารเพื่อล้างพิษของกลุ่มคนเหล่านี้โดยไม่ให้มีปัญหา ไม่ควรอดอาหารยาวเกิน 48 ชั่วโมง หรือถ้าต่ำมากๆอย่างเห็นได้ชัดก็อาจจะอดอาหารไม่เกิน 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันปัญหาธัยรอยด์ฮอร์โมนที่อาจต่ำลงไปอีก
       
        และความจริงแล้วการอดอาหารที่น่าจะถือว่ามีประโยชน์สูงสุดก็คือการลดปริมาณอาหารที่เป็นกิจวัตรประจำ คงเส้นคงวา ซึ่งจะไม่สร้างปัญหาการเผาผลาญอาหารที่ต่ำลงโดยไม่สอดคล้องกับการรับประทาน ซึ่งวิธีการนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยตรัสเอาไว้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 265 ความว่า :
       
        "ดูก่อนถึงพวกเธอทั้งหลายก็จงฉันหนเดียวเถิด แม้พวกเธอก็จะรู้สึกว่า 1.มีความเจ็บป่วยน้อย 2. มีความลำบากกายน้อย 3. มีความเบากาย 4. มีกำลัง 5. อยู่อย่างผาสุก"
    
        ความเห็นของผมในชั้นนี้เห็นว่า การอดอาหารล้างพิษตับให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นควรเตรียมตัวล่วงหน้า 6 วัน เหมือนสูตรชาวเยอรมัน (งดเครื่องดื่มและอาหารเย็น, รับประทานอาหารและเครื่องดื่มอุ่นหรืออย่างน้อยอุณหภูมิห้อง, งดเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์, งดนมวัว, งดไข่ไก่ ไข่เป็ด, งดของทอด หรือลดปริมาณอาหารลดน้อยลง) ในขณะเดียวกันการเตรียมตัวล้างลำไส้ให้สะอาดล่วงหน้าก่อนอดอาหารก็จะเพิ่มประสิทธิภาพในการล้างพิษตับให้ดีขึ้น และการล้างพิษตับของชาวอโศกที่ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว เพียงแต่อาจจะต้องลงรายละเอียดกับปัญหาภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ โดยเฉพาะที่เกิดในผู้หญิงเป็นกรณีพิเศษ
    
        ส่วนหลังล้างพิษตับแล้วก็อย่างเพิ่งรีบโหมรับประทานอาหารเพราะ"ความรู้สึก" โดยเข้าใจว่าต้องชดเชยการอดอาหาร โดยไม่ดูสภาพความต้องการที่แท้จริงในร่างกาย ดังนั้นให้รับประทานอาหารอ่อนๆตามสภาพที่หิวจริง ถ้ายังไม่อยากรับประทานก็อย่าเพิ่งฝืนรับประทานหรือให้รับประทานแต่น้อย แล้วค่อยๆเพิ่มเป็นลำดับขั้นบันได จนรู้สึกหิวจริงแล้ว จึงค่อยรับประทานให้อยู่ในระดับปกติ


ขอขอบคุณที่มา : http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000102177

กทม. เชิญตรวจมะเร็งปากมดลูก 9-23 ส.ค.56 ฟรี

กทม. เชิญตรวจมะเร็งปากมดลูกฟรี 9-23 ส.ค.56 (ไอเอ็นเอ็น)



กทม. เชิญตรวจมะเร็งปากมดลูก 9-23 ส.ค.นี้ฟรี (ไอเอ็นเอ็น)

          กทม. เชิญตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม เฉลิมพระเกียรติ 81 พรรษามหาราชินี ฟรี 9 - 23 สิงหาคม 2556

          ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานพิธีเปิด "โครงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม เฉลิมพระเกียรติฯ 81 พรรษามหาราชินี" ที่โรงพยาบาลกลาง โดยระบุว่า โครงการดังกล่าว จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 23 สิงหาคม 2556 ณ โรงพยาบาลในสังกัด สำนักการแพทย์ กทม.รวม 9 แห่ง ได้แก่ 
          - โรงพยาบาลกลาง
          - โรงพยาบาลตากสิน
          - โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
          - โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ
          - โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์
          - โรงพยาบาลลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร
          - โรงพยาบาลราชพิพัฒน์
          - โรงพยาบาลสิรินธร
          - และโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน

          สำหรับผู้สนใจสามารถรับการตรวจมะเร็งปากมดลูกได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ในราคาพิเศษ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

          ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำนโยบายด้านสุขภาพผู้หญิง (Woman We Care 2013) โดยเน้นการป้องกันหญิงไทยจากโรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตลำดับต้น ๆ ของโรคมะเร็งที่พบในสตรี รวมถึงเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม เพื่อค้นหาโรคในระยะเริ่มแรก ลดอัตราการป่วยและอัตราการตายด้วยโรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม อีกทั้งเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน และมุ่งสู่การเป็นเมืองสุขภาพดี ผู้คนมีความสุขตามนโยบายมหานครแห่งความสุขของกรุงเทพมหานคร

ขอบคุณภาพประกอบ และข้อมูลจาก www.kapook.com

อ้างอิง : http://health.kapook.com/view68421.html

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มะเร็งตับอ่อน โรคร้ายที่ใครก็ไม่อยากเจอ


ปวดท้อง


มะเร็งตับอ่อน โรคร้ายที่ใครก็ไม่อยากเจอ (Momypedia)

          ข่าวการเสียชีวิตของ Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple และผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะแห่งโลกยุคใหม่ด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนทำให้คนทั้งโลกตกใจไม่น้อยค่ะเพราะเราได้สูญเสียคนเก่ง ๆ ไปอีกคน และเมื่อมองย้อนกลับมาที่โรคซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเขา ก็น่าตกใจไม่น้อยเช่นกัน เพราะในปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตเพราะมะเร็งตับอ่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ 

          ก่อนหน้านี้มีคนดังที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับมะเร็งตับอ่อนไปแล้ว อย่าง Patrick Swayze พระเอกจากหนังเรื่อง Ghost รวมถึง Randy Pausch อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ Carnegie Mellon University เจ้าของเรื่องราวในหนังสือชื่อดัง The Last Lecture ที่ทำให้หลายคนร้องไห้มาแล้ว วันนี้เรามาทำความรู้จักกับมะเร็งตับอ่อนกันค่ะว่าร้ายแรงอย่างไร 

ตับอ่อนคืออะไร

          ตับอ่อนเป็นอวัยวะภายในที่อยู่บริเวณท้องส่วนบนและอยู่หลังกระเพาะอาหาร ตับอ่อนประกอบไปด้วย 2 ต่อมหลักคือ

           1. ต่อมมีท่อ ทำหน้าที่สร้างเอ็นไซม์ เพื่อย่อยไขมันและโปรตีนในอาหาร

           2. ต่อมไร้ท่อ ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน เช่น อินซูลิน กลูคากอน เป็นต้น

มะเร็งตับอ่อนเกิดได้อย่างไร 

          มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic cancer) เป็นมะเร็งที่ยังหาสาเหตุแน่ชัดไม่ได้ แต่ก็มีหลายปัจจัยที่กระตุ้น ได้แก่

           1. ในคนที่สูบบุหรี่จัด มีปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งตับอ่อน 

           2. ในคนที่มีครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน มีโอกาสเป็นมะเร็งตับอ่อนได้สูง

           3. ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน มีปัจจัยเสี่ยงสูง

           4. โรคตับอ่อน อักเสบเรื้อรัง หรือกินอาหารไขมันสูงเป็นประจำ โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์

           5. เนื้องอกที่เกิดจากต่อมมีท่อและไร้ท่อ


มะเร็งตับอ่อน
 
 อาการ

          มะเร็งตับอ่อนมักเกิดขึ้นกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึง 4 เท่า และจะพบมากในกลุ่มผู้มีอายุตั้งแต่ 40-70 ปี ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งตับอ่อน และมักจะตรวจพบเมื่อมะเร็งลุกลามหรือรุนแรงมากแล้ว แต่อาการสังเกตเบื้องต้นมีดังนี้

           ดีซ่าน ตัวเหลืองตาเหลือง

           อาการปวดบริเวณส่วนบนของช่องท้องและร้าวไปหลัง ปวดท้องรวมกับปวดหลัง

           เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

           อ่อนเพลียกว่าปกติ

           ผู้ป่วยบางคนอุจจาระลักษณะมีไขมันปนมาก

การตรวจและระยะของมะเร็ง

          การตรวจหามะเร็งตับอ่อนค่อนข้างยาก ซึ่งมักจะพบเมื่อมะเร็งเริ่มลุกลามมากแล้ว วิธีที่สามารถตรวจได้ดีที่สุดคือ การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจหามะเร็ง แต่นั้นก็ต้องอยู่ในการพิจารณาของแพทย์และอาการที่เกิดขึ้น มะเร็งตับอ่อนแบ่งออกเป็น 4 ระยะ

           ระยะที่ 1  ก้อนมะเร็งจำกัดอยู่เฉพาะในตับอ่อน

           ระยะที่ 2  ก้อนมะเร็งลุกลามออกนอกตับอ่อน หรือลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ติดกับตับอ่อน

           ระยะที่ 3  ก้อนมะเร็งลุกลามเข้าเส้นเลือดใหญ่ในส่วนของตับอ่อน

           ระยะที่ 4  โรคมะเร็งแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด (มักแพร่กระจายเข้าตับ ปอด และกระดูก) หรือเข้าต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง นอกช่องท้องซึ่งอยู่ไกลจากตัวตับอ่อน
 
การรักษา

          อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า ผู้ป่วยโดยส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งตับอ่อนจนกว่าจะได้รับการวินิจฉัยที่ชัดเจน และก็มักจะพบเมื่อลุกลามมากเกินกว่าจะป้องกันหรือรักษาให้หายได้ แต่สำหรับผู้ที่สามารถตรวจพบได้ไวก็สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด วิธีรักษามะเร็งตับอ่อนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
 
           1. กลุ่มที่ผ่าตัด ใช้ได้ในกรณีที่ตรวจพบในระยะแรกของโรค และแพทย์ลงความเห็นว่าสามารถผ่าตัดได้ ซึ่งนอกจากตัดตับอ่อนบางส่วนออก หรือตัดออกทิ้งทั้งหมดแล้ว อาจจะต้องตัดอวัยวะส่วนอื่นออกด้วย เพื่อป้องกันเชื้อที่อาจจะยังมีและลุมลาม เช่น ลำไส้เล็กส่วนต้น ท่อน้ำดี กระเพาะอาหารบางส่วน

           2. กลุ่มที่ผ่าตัดไม่ได้ ใช้ในกรณีที่มะเร็งลุกลามมากแล้วซึ่งจะเป็นการรักษาและประคองอาการเท่านั้น เช่น การให้เคมีบำบัด และการฉายรังสีเพื่อยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง หรือการผ่าตัดเพื่อทำทางเบี่ยงน้ำดีเพื่อ ลดอาการดีซ่าน หรือทางเบี่ยงให้กระเพาะอาหารเพื่อลดการอุดตันของทางเดินอาหารยังเป็น วิธีการที่บรรเทาอาการผู้ป่วยได้ดีที่สุด
 
          มะเร็งตับอ่อนเป็นโรคที่พบได้น้อยค่ะ แต่เมื่อพบแล้วก็มักจะรุนแรงมากและเสียชีวิตแทบทุกราย ปัจจุบันยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพให้พบโรคมะเร็งตับอ่อนตั้งแต่ระยะเริ่มเป็นโรค ซึ่งเราเองนี่ล่ะค่ะที่ต้องสำรวจอาการเริ่มแรกที่เกิดกับตัวเอง และเมื่อสงสัยว่าอยู่ในกลุ่มอาการดังกล่าวควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิฉัย จะได้ป้องกันและเตรียมตัวรักษากันได้ทันนะคะ  
 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 

และขอขอบคุณ http://health.kapook.com/view32370.html

8 ขั้นตอนการบริโภคอาหาร เพื่อสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง


อาหารเพื่อสุขภาพ


8 ขั้นตอนการบริโภคอาหาร เพื่อสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง (Happy+)
เรื่อง : นพ.พิรัตน์ โลกาพัฒนา

          หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีการหยุดพัก เพื่อบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากหัวใจบีบตัวไม่ได้ บีบตัวไม่ดี เจ้าของหัวใจดวงนี้ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย
          โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ถือเป็นโรคที่พบมากในปัจจุบันและกำลังเป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตในกลุ่มโรคที่ไม่ใช่มะเร็ง สาเหตุที่คนป่วยเป็นโรคนี้มากขึ้นเพราะการดำเนินชีวิตประจำวันที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ดังนั้น อาหารการกิน การออกกำลังกาย การควบคุมไม่ให้ป่วยเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเส้นเลือดสูง ล้วนเป็นสิ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจในอนาคต

          เรามาดูกันครับว่าจะปรับการกินอาหารอย่างไรเพื่อรักษาหัวใจดวงน้อย ๆ ของเราให้เต้นต่อไปได้อีกนาน ๆ
1. เริ่มต้นที่ปริมาณ

          หลาย ๆ คนเลือกซื้ออาหารโดยดูจากส่วนผสมที่มีคุณภาพดี มีสารอาหารที่มีงานวิจัยรับรองว่าดีต่อสุขภาพ แต่สิ่งที่อาจจะลืมไปก็คือ ปริมาณครับ อาหารที่เรากินเข้าไปสุดท้ายจะเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน ถ้าหากพลังงานที่ได้รับนั้นมากกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน มันก็จะเปลี่ยนไปเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย ซึ่งหากจะคิดเปรียบเทียบกันแล้ว ผลเสียที่ได้จากการกินอาหารมากเกินไป ถือว่ามากกว่าการกินอาหารที่อาจจะไม่ได้มีส่วนประกอบพิเศษ แต่กินในปริมาณที่เหมาะสมครับ

          วิธีง่าย ๆ ที่ไม่ต้องไปชั่งตวงอาหารที่กินก็คือ ให้เริ่มจากการตักข้าวแต่น้อย และใช้วิธีตักเพิ่มถ้ายังไม่อิ่ม เลือกใช้จาน-ชามขนาดพอดี ไม่เลือกจาน-ชามขนาดใหญ่อาจจะทำให้เผลอตักอาหารมากเกินไป นอกจากนี้ก็สังเกตเวลาเรากินครับ หากกินแล้วอิ่ม แต่ยังมีข้าวหรือกับข้าวเหลือก็ให้พอ อย่าเสียดายแล้วฝืนกินต่อ และเมื่อไปซื้อหรือทำอาหารในมื้อถัดไปให้เราบอกคนทำหรือคนขายให้ลดปริมาณเท่าเท่าที่เราจะกินก็พอ

          ปริมาณอาหารที่เหมาะสมคือเมื่อกินแล้วไม่หิวก่อนถึงมื้อถัดไป และไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นครับ


อาหาร 5 หมู่

2. ห้าหมู่ไม่เพียงพอ ต้องได้สัดส่วนด้วย

          แฮมเบอร์เกอร์หมูชุ่มไขมันใส่เศษผักกับมะเขือเทศชิ้นเล็ก ๆ ก็เป็นอาหารครบ 5 หมู่ แต่เราก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่อาหารที่ดีต่อสุขภาพแน่ ๆ ดังนั้นสัดส่วนของอาหาร 5 หมู่ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

          สัดส่วนอาหารที่เหมาะสม ให้คิดง่าย ๆ คือ ควรมีผัก 30% ผลไม้ที่ไม่หวานจัด 20% ข้าว 30% และโปรตีน 20% สำหรับไขมันไม่ได้ระบุไว้ แต่เป็นอันรู้ว่าไขมันจะอยู่ในรูปของน้ำมันที่ประกอบอาหารอยู่แล้วโดยใช้ให้น้อยที่สุด

          สัดส่วนอาหารที่เหมาะสมนี้ ผู้ที่สนใจสามารถค้นหาเพิ่มเติมได้จากอินเตอร์เน็ตด้วย คำว่า "พีระมิดอาหาร" หรือ "ธงโภชนาการ" ครับ

3. ข้าว (อาหารจำพวกแป้ง)

          ข้าวเป็นอาหารหลักในมื้ออาหารแต่ละมื้อ ข้าวที่ดีต่อสุขภาพคือข้าวที่ผ่านการขัดสีน้อย ได้แก่ ข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือ เพราะจะมีกากใยอาหารมาก ซึ่งกากใยในข้าวเหล่านี้ จะทำให้การดูดซึมแป้งและน้ำตาลเป็นไปอย่างช้า ๆ ทำให้ลดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งจะนำไปสู่ความอ้วนและเบาหวานได้ นอกจากนี้ ข้าวกล้องยังมีวิตามินบีที่จำเป็นต่อสุขภาพ ผู้ที่ไม่เคยชินกับข้าวขาวที่กินประจำ เพื่อให้ค่อย ๆ ชินกับรสชาติครับ

4. ไขมัน

          น้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหร ควรเลือกน้ำมันที่ไม่มีกรดไขมันอิ่มตัวซึ่งสามารถสังเกตได้จากฉลากโภชนาการข้างขวด หลีกเลี่ยงการใช้ไขมันอิ่มตัวจำพวกน้ำมันปาล์ม เนยเทียม ไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู และทุกครั้งที่ประกอบอาหารจากเนื้อสัตว์ ให้เลือกส่วนที่มีไขมันน้อย ๆ หรือแล่เอาไขมันหรือหนังสัตว์ออกครับ

5. โปรตีน

          แหล่งโปรตีนที่ดีคือ โปรตีนที่มีไขมันต่ำหรือปราศจากไขมัน ได้แก่ โปรตีนจากเนื้อปลา สัตว์ปีก เนื้อสัตว์ใหญ่ส่วนที่ไม่ติดมัน และไข่ขาว โดยทุกครั้งที่นำเนื้อสัตว์มาประกอบอาหาร ควรตัดส่วนของไขมันที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าออกครับ นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว แหล่งโปรตีนที่มีไขมันไม่มากและปราศจากคอเลสเตอรลอก็คือ ถั่ว โดยอาจจะใช้ในรูปของโปรตีนเกษตร เต้าหู้ หรือใช้ถั่วประกอบอาหารเลยก็ได้

ผักผลไม้

 6. ผัก ผลไม้

          ผักและไม้เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ทั้งยังมีกากใย ซึ่งเมื่อกินพร้อมกับมื้ออาหารก็จะช่วยเรื่องการดูดซึมให้ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงเร็ว ช่วยลดอาการท้องผูกจากการกินแป้งและเนื้อสัตว์ โดยผักผลไม้ที่เหมาะสมที่จะกินร่วมกับมื้ออาหารคือผักกินใบหรือก้าน ผลไม้ที่รสชาติไม่หวานนัก

          สำหรับผักที่เรากินหัว เช่น มันเทศ มันฝรั่ง หรือผลไม้รสหวานมัน เช่น มะพร้าว ทุเรียน ลำไย ฯลฯ เวลาจัดสัดส่วนอาหารเราจะไม่จัดอยู่ในกลุ่มผักผลไม้ แต่เราจะจัดไปอยู่ในกลุ่มข้าว และอาหารจำพวกแป้งครับ

7. ควบคุมการกินเกลือ

          การบริโภคเกลือมากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อหัวใจได้ ดังนั้นต้องควบคุมตั้งแต่การทำอาหรโดยลดการใช้เกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว ผงชูรส และหลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป โดยเฉพาะอาหารกระป๋อง ที่มีทั้งปริมาณเกลือสูงและมีสารกันเสีย ซึ่งก็เป็นเกลือเช่นกัน

8. ประเมินหลังเปลี่ยนแปลง

          การประเมินหลังการปรับเปลี่ยนอาหารควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเลือกสิ่งที่จับต้องได้ชัดเจน เช่น อาจจะชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบดูเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือปรึกษาแพทย์เจาะเลือดเพื่อตรวจดูค่าของน้ำตาลและไขมันในเลือด การมีเป้าหมายที่ชัดเจนและการเห็นผลว่าเรามีสุขภาพที่ดีขึ้น จะทำให้เรารู้ว่ามาถูกทางและมีกำลังใจในการปรับเปลี่ยนต่อไปครับ

เคล็ดลับสุขภาพ

Happy Tip

          ควรพูดคุยกันภายในครอบครัวเรื่องการปรับเปลี่ยนอาหารเพื่อสุขภาพหัวใจ และเลือกเมนูที่ทุกคนในบ้านรับได้หรือเห็นด้วย หรือให้คนในครอบครัวช่วยกันคิดเมนูใหม่ ๆ เพื่อรักษาสุขภาพไปพร้อมกัน และสร้างสุขในครอบครัวครับ



 



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 
และขอบคุณ http://health.kapook.com/view67006.html

7 วิธีป้องกันมะเร็งตับ

ขึ้นชื่อว่า "มะเร็ง" ก็คงไม่มีใครอยากให้เจ้าก้อนเนื้อร้ายนี้ เฉียดกรายเข้ามารุกล้ำอธิปไตยของอวัยวะภายในร่างกายตนเอง โดยเฉพาะมะเร็งตับและท่อน้ำดี ซึ่งเป็นมะเร้งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ของชายไทย และเป็นอันดับ 3 ของเพศหญิง สำหรับคนที่เป็นมะเร็งตับระยะแรกมักจะไม่ปรากฏอาการ จนกว่าโรคจะดำเนินไปสู่ระยะท้ายๆ โดยอาจใช้เวลาเป็นเดือนจนถึงหลายปีขึ้นอยู่กับอัตราการโตของก้อนมะเร็ง
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       หลายคนอาจสงสัยว่าสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งตับคืออะไร แล้วป้องกันได้หรือไม่ ทีมข่าวคุณภาพชีวิต ASTVผู้จัดการออนไลน์ มีคำตอบ โดยมะเร็งตับ คือ การเป็นโรคตับแข็งจากสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังนี้
      
       1.การอักเสบเรื้อรังของตับจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี
      
       2.ภาวะตับแข็งจากแอลกอฮอล์
      
       3.การได้รับสารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ที่เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดมะเร็งตับ ซึ่งมักปนเปื้อนอยู่ในธัญพืชแห้งที่ขึ้นรา เช่น ถั่วลิสง พริกแห้ง กระเทียม เป็นต้น
      
       หากไม่อยากเป็นมะเร็งตับ ควรที่จะต้องรู้จักป้องกันตนเอง โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดตับอักเสบหรือตับแข็ง คือ
      
       1.งดดื่มสุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
      
       2.หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจปนเปื้อนเชื้อราหรือสารอะฟลาท็อกซิน ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ
      
       3.อย่าสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งใดๆ ของผู้อื่น หากจำเป็นให้สวมถุงมือ และห้ามใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
      
       4.ไม่สำส่อนทางเพศ สวมถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
      
       5.ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยการฉีดวัคซีน
      
       6.หากป่วยเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ต้องรับการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่องด้วยวิธีที่เหมาะสม ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับได้
      
       และ 7.กรณีที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ ควรเฝ้าระวังเป็นระยะๆ โดยการตรวจเลือดและตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อหามะเร็งตับทุกๆ 6 เดือน

ที่มา : www.manager.co.th

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ล้างพิษตับ รุ่น 9


ตารางการเข้าร่วมคอร์ส  ล้างพิษตับ
กับทีมงานบ้านสุขภาพดี.com
หลักสูตร  คืน 3วัน
รุ่นที่ 9 ระหว่างวันที่ 2-4 สิงหาคม 2556 (ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์)


สิ่งที่ท่านต้องเตรียมตัว
                                                                                             
1. เพื่อให้การล้างพิษตับได้ผลดี ควรงดทานเนื้อสัตว์ 1 สัปดาห์ก่อนถึงวันล้างพิษตับ               
2. ในวันแรกของการล้างพิษตับ (2 ส.ค. 56) งดอาหารหนักหลังมื้อกลางวัน
          อาหารที่สามารถรับประทานได้  ได้แก่  ผลไม้  เช่น  มะละกอสุก   สัปปะรด   มะม่วงสุก  หรือน้ำผลไม้
            ผลไม้ทั้งสามอย่างมี เอนไซม์สามารถย่อยง่ายและดูดซึมได้ด้วยตัวเอง


ตารางกิจกรรม

 ล้างพิษวันแรก (2 ส.ค. 56)
·       15.00 น.  
พบกันที่บ้านสุขภาพดี. com      

·       15.00  -  18-00 น.
ลงทะเบียน ชั่งน้ำหนัก วัดความคัน ดื่มน้ำสมุนไพร/ผลไม้ และเสวนาเรื่องสุขภาพกับนักธรรมชาติบำบัด 
·       18.00 น.  
ดื่มน้ำสมุนไพร/ผลไม้
·       19.00 – 20.30 น.
บรรยายสาระน่ารู้เรื่องสุขภาพ โดยนักธรรมชาติบำบัด
·       20.30 น.
ดื่มน้ำเอนไซม์
·       21.00 น.
ทานสมุนไพรชำระไขมันในลำไส้ ครั้งที่ 1 แล้วเข้านอน



ล้างพิษวันที่สอง (3 ส.ค. 56)
·       5.00 – 6.00 น.
ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัว
·       6.00  7.00 น.
ตรวจวัดค่าความเป็นกรด/ด่างในร่างกาย
·       7.00  7.15 น.
ตักบาตรพระสงฆ์ โดยทางกลุ่มบ้านสุขภาพดีจะเตรียมอาหารสำหรับใส่บาตรให้กับทุกท่าน
·       7.15  8.00 น.
แช่เท้า และพอกหน้าด้วยสมุนไพร พร้อมทั้งดื่มชาข้าวกล้องงอก
·       8.00  9.00 น.
ทำธุระส่วนตัว
·       9.00  9.15 น.
ดื่มสมุนไพรดูดซับสิ่งตกค้างในลำไส้  ครั้งที่ 1
·       9.15  12.00 น.
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องสุขภาพกับนักธรรมชาติบำบัด ระหว่างการสนทนาเสิร์ฟน้ำสมุนไพร/ผลไม้
·       12.00  12.15 น.
ดื่มสมุนไพรดูดซับสิ่งตกค้างในลำไส้ ครั้งที่ 2
·       12.15  15.00 น.
พักผ่อนตามอัธยาศัย
·       15.00  15.15 น.
ดื่มสมุนไพรดูดซับสิ่งตกค้างในลำไส้ ครั้งที่ 3 และทานสมุนไพรชำระไขมันในลำไส้ครั้งที่ 2
·       15.15  17.00 น.
ร่วมกิจกรรมโดยทีมงานบ้านสุขภาพดี และระหว่างมื้อ ดื่มน้ำสมุนไพร/ผลไม้
·       17.00  18.00 น.
อบตัวด้วยสมุนไพร
·       18.00  18.15 น.
ดื่มน้ำสมุนไพรคุณบังเอิญครั้งที่ 1
·       18.15  20.00 น.
พักผ่อนตามอัธยาศัย และทำธุระส่วนตัว
·       20.00  20.15 น.
ดื่มน้ำสมุนไพรคุณบังเอิญครั้งที่ 2
·       20.15  22.00 น.
พักผ่อนตามอัธยาศัย ดื่มน้ำเปล่าได้เพียง 1 แก้วเท่านั้น
·       22.00 น.
ดื่มน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาว  และเข้านอน

                                                                         

ล้างพิษวันที่สาม (4 ส.ค. 56)
·       5.00 – 7.15 น.
ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัว เก็บอุจจาระ
·       7.15  8.00 น.
แช่เท้า และพอกหน้าด้วยสมุนไพร พร้อมทั้งดื่มชาข้าวกล้องงอก
·       8.00  11.00 น.
ทำธุระส่วนตัว พักผ่อนตามอัธยาศัย
·       11.00  น.
รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ที่บ้านสุขภาพดี  จัดเตรียมไว้
 *** ของฝากจากบ้านสุขภาพดี จะได้รับอาหารกลับบ้านท่านละ 1 ชุด
หมายเหตุ  กำหนดการและรายละเอียดอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม

ค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายสำหรับคอร์ส ล้างพิษตับ 3 วัน  ท่านละ 3,500 บาท (รวมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว)