ณ บ้านพระอาทิตย์ โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แม้ว่าการล้างพิษตับจะได้รับการพิสูจน์ตาม ผลการสำรวจเลือดและอัลตร้าซาวด์ในผู้ที่เข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการ 108 คน ของกลุ่มบุญคณา จังหวัดขอนแก่น ระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม พ.ศ.2556 ทำให้เราได้เห็นว่านิ่วในถุงน้ำดีมีขนาดเล็กลงหรือถูกขับออกหลังผ่านหลักสูตรล้างพิษตับ โดยจำนวนผู้เข้าหลักสูตร 108 ราย เมื่อได้รับการตรวจโดยอัลตร้าซาวด์แล้วพบว่า ผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีก่อนเข้าหลักสูตรล้างพิษตับ 15 ราย ปรากฏว่าหลังจบหลักสูตรล้างพิษตับมีคนที่นิ่วหายไปจากถุงน้ำดี 7 ราย ยังคงมีนิ่วอยู่แต่ขนาดเล็กลงหรือมีจำนวนน้อยลง 5 ราย และเท่าเดิม 3 ราย (อ่านรายละเอียด ในภาค 4 เขาว่าล้างพิษตับเป็นเรื่อง “หลอกลวง” ตอนที่ 3 : พิสูจน์ผลการตรวจเลือดและอัลตร้าซาวด์ 108 คน ครั้งแรกในประเทศไทย) หมายความว่าจากการศึกษาครั้งนี้พบว่าผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีมีอาการดีขึ้น 12 ราย จาก 15 ราย และเรื่องที่น่าสนใจพบว่ามีหลายกรณีมีนิ่วขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด | ||||
เพราะโดยปกติแล้วนิ่วในท่อน้ำดี ถ้าเป็นก้อนเล็กๆอาจมีหลายก้อน แต่ก็จะสามารถเคลื่อนลงมาจากถุงน้ำดีลงมาได้ แต่ถ้าเป็นก้อนใหญ่เกิน 1 เซนติเมตรมักจะติดอยู่ที่ท่อน้ำดี ถ้าอุดตันน้ำดีก็จะผ่านไม่ได้ทำให้ตัวเหลือง ตาเหลือง หากติดเชื้อร่วมด้วยจะมีไข้หนาวสั่น หรือหากมีนิ่วอยู่ในถุงน้ำดีมากก็มีโอกาสที่ถุงน้ำดีจนเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณดังกล่าวได้ แต่การที่ก้อนิ่วขนาดใหญ่หายไปได้ทั้งๆที่มีขนาด 3.7 เซนติเมตร อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณีคือ นิ่วมีขนาดเล็กลง และท่อน้ำดีเปิดกว้างมากขึ้น เมื่อลงรายละเอียดก็จะยิ่งเห็นได้ชัดว่านิ่วในถุงน้ำดีมีขนาดเล็กลงจริงๆ โดยในบางรายจากเดิมมีขนาด 1.9 เซนติเมตร ลดลงเหลือ 1.2 เซนติเมตร | ||||
อันเดรียส์ มอริสต์ ผู้ทรงอิทธิพลด้านการล้างพิษตับชาวเยอรมันได้กล่าวถึงกรณีที่นิ่วมีขนาดเล็กและนิ่มลงว่าเกิดจากน้ำผลไม้ เช่น น้ำแอปเปิ้ล ซึ่งมีกรดมาลิคที่ทำให้นิ่วนิ่มลง และการดื่มน้ำมันมะกอกทำให้ท่อน้ำดีเปิดกว้างและขับออกมา ในขณะเดียวกันน้ำดีที่ออกมาจำนวนมากด้วยการดื่มน้ำผลไม้ทำให้คุณภาพน้ำดีเปลี่ยนไปทำให้ตะกอนนิ่วเล็กลงและขับออกมาได้ รศ.นพ.อนัน ศรีพนัสกุล อาจารย์แพทย์จากภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อธิบายว่า “คือเขาไปกระตุ้นน้ำดีออกมาเยอะๆ มันก็อาจจะ Flush หรือล้างออกมาได้ แล้วก็น้ำดีหลังจากที่อดอาหาร ทานแต่น้ำแอปเปิ้ลมันก็มีผล พวกวิตามินซี ทำให้น้ำดี อาจจะคุณภาพน้ำดีของคนๆนั้นเขาเปลี่ยนไป สมัยเก่าอาจจะเป็นน้ำดีชนิดที่พร้อมจะตกตะกอน เป็นนิ่วง่าย ก็กลายเป็นน้ำดีที่ดีขึ้นกว่าเก่า มันก็อาจจะมาละลายอยู่ตรงนี้ได้ แล้วพอมันเล็กลงมันก็มีโอกาสหลุดออกมาได้ ถ้ามันดีมากๆมันอาจจะละลายหมดไปเลยอย่างนี้ก็ยิ่งดี เป็นเล็กๆเลยหรือเป็นฝุ่นเป็นตะกอนเลยมันก็ออกมาได้ง่ายขึ้น” แม้จะเป็นวิธีที่น่ามหัศจรรย์เพราะเป็นการขจัดนิ่วขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะหากสมมุติเกิดนิ่วมีขนาดเล็กลงแต่เล็กลงไม่พอ แล้วปรากฏว่าระหว่างล้างพิษหรือหลังล้างพิษนิ่วเหล่านั้นถูกขับออกมาแล้วปรากฏว่าติดอยู่ที่ท่อน้ำดี ตรงนี้ก็ถือว่ามีอันตรายเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพียงแต่ตามสถิติเท่าที่ผ่านมาคนที่โชคร้ายเช่นนี้ยังเกิดขึ้นน้อยมาก และมีคนโชคดีมากกว่า แม้แต่คนที่ผ่าตัดถุงน้ำดีแล้วก็ตาม ก็ยังมีโอกาสที่อาจจะมีตะกอนไขมันที่ออกมาจากตับติดค้างอยู่ในท่อน้ำดีได้ด้วยเช่นกัน นิ่วในถุงน้ำดี (gallstone หรือ choletihiasis) เป็นโรคของถุงน้ำดีที่พบได้บ่อย โดยที่นิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากการตกผลึกของคอเลสเตอรอล เลซิทิน และกรดน้ำดี ซึ่งเป็นองค์ประกอบของน้ำดี เมื่อนิ่วผ่านลงมาในท่อน้ำดีก็จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง โดยเฉพาะในช่วงระหว่างมื้ออาหาร ในกรณีที่ก้อนนิ่วไปอุดตันส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบท่อน้ำดี จะทำให้เกิดอาการปวดบิดรุนแรง ที่เรียกว่า ไบเลียรี่ โคลิค (biliary colic) ผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ำดียังมีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง และอาจเกิดความผิดปกติของตับอีกด้วย ดังนั้นถ้าหลังล้างพิษตับแล้วมีอาการตัวเหลือง อันเดรียส์ มอริสต์ แนะนำให้ดื่มน้ำแอปเปิ้ลให้มากๆ เพื่อใช้กรดมาลิคจากแอปเปิ้ลไปลดขนาดของนิ่วให้ลดลง และหากเวลาผ่านไปเกิดอาการปวดท้องบิดรุนแรง หรืออาจมีไข้ร่วมด้วย ควรส่งตัวไปโรงพยาบาลจะดีที่สุด ทั้งนี้มีข้อน่าสังเกตคือหากผู้เข้าหลักสูตรล้างพิษที่ดื่มน้ำผลไม้น้อยหรือดื่มน้ำแอปเปิ้ลน้อย ก้อนไขมันที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดีเหล่านี้มักจะแข็งตัวเมื่อขับถ่ายออกมา ซึ่งก็น่าจะมีความสอดคล้องกับข้อสันนิษฐานในเรื่องวิตามินซีและคุณภาพของน้ำดีเปลี่ยนไปเมื่อมีน้ำผลไม้มากขึ้น โดยปกติเมื่อพบก้อนนิ่วติดค้างในถุงน้ำดี แพทย์แผนปัจจุบันจะนัดทำส่งกล้องแล้วเอาออกเลย ถ้าก้อนเล็กอาจขบแล้วใช้บอลลูนหรือเป็นตะกร้าไปสวมก้อนแล้วค่อยดึงออกมาเมื่อทำแล้วกลับบ้านได้เลย หรือรายที่เป็นก้อนใหญ่มากอาจใช้แสงเลเซอร์ยิงไปที่ก้อนให้สลายเล็กลงซึ่งใช้เวลานานและอาจผ่านตัดใส่ท่อน้ำดีให้ไหลผ่านได้ชั่วคราวแล้วนัดทำใหม่อีก 1-3 เดือน หรือไม่ก็ผ่าตัดเอาออกนอนอยู่โรงพยาบาลจนกว่าจะฟื้น ดังนั้นแม้การล้างพิษตับจะเป็นแพทย์ทางเลือก แต่ก็ต้องไม่ประมาทในการสังเกตอาการและพิจารณาเพื่อผสมผสานกับแพทย์แผนปัจจุบันด้วย ที่มา : www.manager.co.th |
ล้างพิษตับ กับ บ้านสุขภาพดี.com มีทีมงานมืออาชีพ ที่มีสถานที่พัก บรรยากาศดี อุปกรณ์ทันสมัย ใจกลางกรุงเทพ
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556
ปัญหานิ่วค้างในท่อน้ำดี ระหว่าง/หลัง ล้างพิษตับ
วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556
"พริกไทย" สมุนไพรป้องกันโรคอัลไซเมอร์
พริกไทย หรือ พริกน้อย (Pepper) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Piper naอินเดีย และเป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันประเทศในอาเซียน อย่างเวียดนามได้กลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกพริกไทยรายใหญ่ที่สุดของโลกไปแล้ว ส่วนอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ก็ยังคงเป็นแหล่งผลิตพริกไทยที่สำคัญ | |||
จากการศึกษาวิจัยสมัยใหม่พบว่า พริกไทยช่วยทำให้ระบบการดูดซึมสารอาหารและตัวยาต่างๆของร่างกายดีขึ้น เช่น เมื่อให้ขมิ้นชันร่วมกับพริกไทย จะทำให้สารเคอร์คิวมินและสารเบต้าแคโรทีนในขมิ้นถูกดูดซึมได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันพริกไทยจะออกฤทธิ์ต่อทางเดินอาหารได้ดี ก็ต้องมีพริกหรือขมิ้นอยู่ด้วย พริกไทยเป็นสมุนไพรรสร้อน แก้โรคที่เกิดจากธาตุไฟพร่อง เช่น ช่วยย่อยอาหาร รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้โรคที่เกิดจากธาตุน้ำ และธาตุลมกำเริบ พริกไทยเป็นเครื่องยาที่ตามพระสูตรในพระพุทธศาสนาอนุญาตให้พระภิกษุเก็บไว้รักษาตัวได้ และยังอยู่ในตำรับยาของอายุรเวทที่ใช้กันมาประมาณ 4,000 ปี คือ ตรีกฎุก ซึ่งยาตำรับนี้ประกอบด้วย พริกไทย ดีปลี ขิงแห้ง จึงเหมาะเป็นตำรับยาในการดูแลสุขภาพในฤดูฝนซึ่งน้ำมากและเสมหะกำเริบได้ง่าย ส่วยในตำรับยาอายุรเวทของอินเดียมีการใช้พริกไทยทั้งในรูปแบบผงพริกไทยและสารต้มสกัดพริกไทย ในการรักษาแบบพื้นบ้านสำหรับโรคต่างๆ ตั้งแต่ อัมพฤกษ์ อัมพาต คอเจ็บ ไอ คออักเสบ จนถึงปวดฟัน ซึ่งเป็นสรรพคุณที่ใช้กันในยุโรปโบราณด้วยเช่นกัน ปัจจุบันมีรายการศึกษาฤทธิ์ของพริกไทย พบว่าสารออกฤทธิ์ของพริกไทย คือ สารพิเพอรีน (Piperine) ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและลำไส้ทำงานดีขึ้น และกระตุ้นให้ระบบทางเดินอาหารหลั่งน้ำย่อยเพื่อย่อยโปรตีน ไขมัน และแป้ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ย่อยโปรตีนได้จะมีมากเป็นพิเศษ ซึ่งสารพิเพอรีนนี้ ยังเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น เซเลเนียม วิตามินบี เบต้าแคโรทีน เคอร์คูมิน รวมทั้งสารอาหารอื่นๆ และเนื่องจากเป็นสารให้ความร้อน จึงช่วยให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น เพิ่มการเผาผลาญอาหารต่างๆ ทำให้ร่างกายได้พลังงานมากขึ้น เพิ่มการผลิตสารในสมองที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข ฤทธิ์ที่สำคัญๆ ของสารพิเพอรีนในพริกไทย ยังรวมถึงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านการชัก ต้านมะเร็ง การที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทำให้พริกไทยมีแนวโน้มว่า จะช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุได้ เนื่องจากมีการทดลองในหนูที่เซลล์ประสาทส่วนกลางของการรับรู้เสื่อม พบว่า หนูที่มีความจำเสื่อมนี้กลับมาเป็นปกติ นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดด้วยน้ำของพริกไทยมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ฉะนั้นแกงเลียงซึ่งเป็นเมนูที่หนักพริกไทยจึงน่าจะเป็นอาหารต้านมะเร็งอีกอย่างหนึ่ง” อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลว่าการรับประทานสารพิเพอรรีนในขนาดสูงร่วมกับอาหารที่มีไนไตรท์จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง สารไนไตรท์จะพบมากในอาหารที่ใช้สารกันบูดพวกโซเดียมไนไตรท์ และโปแตสเซียมไนไตรท์ และสารพวกดินประสิวที่ทำให้เนื้อมีสีแดง เช่น ไส้กรอก แหนม กุนเชียง หรือแม้แต่ผักที่เร่งปุ๋ยไนโตรเจนมากๆ จึงควรระมัดระวังในการรับประทาน ถ้าสามารถเลือกบริโภคผักที่ไม่ใช้สารเคมีและทำอาหารกินเองได้ ก็จะช่วยให้ได้ประโยชน์จากการกินพริกไทยได้มากทีเดียว นอกจากนี้ พริกไทย เป็นยาเพิ่มกำลังให้ยาตัวอื่นเช่นเดียวกับดีปลี มีคุณสมบัติทำให้การดูดซึมโอสถสารต่างๆ เข้าสู่ร่างกายสูงขึ้น ดังนั้น เมื่อใดกินยาตำรับที่มีพริกไทยหรือดีปลีต้องระวังการได้รับยาเกินขนาด มีการพบว่าคนที่กินยาแผนโบราณในกลุ่มยาแก้กษัยซึ่งมักจะใส่ยาร้อนลงไปด้วย หากได้รับยาต้านการเข็งตัวของเลือดด้วยจะมีผลทำให้เลือดออกตามอวัยวะต่างๆ ได้ ล้อมกรอบ ตำรับยาที่มีพริกไทยเป็นส่วนประกอบ ยาแก้ลมจุกเสียด ใช้ดีปลี 1 ส่วน, พริกไทย 1 ส่วน, กระวาน 1 ส่วน, กานพลู 1 ส่วน, หัสคุณ 1 ส่วน, ผิวมะกรูด 1 ส่วน เอาเท่าๆ กัน บดละลายน้ำร้อนกินครั้งละ 1 ช้อนชา แก้ลมแน่นอก จุดเสียดอาหารไม่ย่อยยาบำรุงธาตุประจำบ้าน ใช้กระชาย 3 บาท, ขมิ้น 3 บาท, พริกไทยล่อน 3 บาท, ลูกกระวาน 3 บาท, ว่านน้ำ 3 บาท ละลายด้วยน้ำผึ้งกิน ครั้งละ 1 - 2 ช้อนชา ช่วยบำรุงธาตุ ทำให้อายุยืน คนโบราณถือว่าเป็นยาประจำบ้าน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย กินหลังอาหารได้ทุกเวลา ยากำลัง (ห้ามสมณะฉัน) ใช้กล้วยน้ำสุก 1 หวี, เนื้อมะตูมสุก 5 ผล, พริกไทยล่อน 1 ตำลึง ยาทั้ง 3 อย่างนี้ ตำเข้าด้วยกันให้ละเอียดแล้วทำเป็นแผ่น ตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาใส่ขวดหรือใส่โหล เอาน้ำผึ้งรวงใส่ให้ท่วมยา ปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ 2 อาทิตย์ แล้วนำมารับประทานวันละ 1 ช้อนกาแฟ ยาอายุวัฒนะ ใช้บอระเพ็ดหนัก 6 บาท, กระเทียมแกง 3 บาท, พริกไทยล่อน 2 บาท, ขิงแห้ง 1 บาท, ลูกยอหนักเท่ายาทั้งหลาย, ยาดำหนัก 3 บาท ยาทั้งหมดตากแดดให้แห้ง ทำเป็นยาผง รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา วันละ 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้งก็ได้ ละลายน้ำผึ้งรับประทานหนึ่งเดือน โรคภัยหายหมด จะมีผิวพรรณวรรณะผ่องใส กลับเป็นหนุ่มเป็นสาว ยามหากำลังปลาช่อน ใช้ปลาช่อนตัวโตๆ ทั้งเกล็ด เอาพริกไทยล่อนยัดท้องปลาให้เต็ม แล้วนำไปย่างไฟพอควร จากนั้น นำไปตากแดด พอแห้งดีนำไปย่างไฟอ่อนๆ ให้แห้งกรอบ แล้วนำไปบดให้ละเอียด ละลายน้ำผึ้ง ปั้นลูกกลอน ขนาดปลายนิ้วก้อย กินครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 เวลา ท่านชายจะมีกำลังวังชา ยาบำรุงกำลังไข่ลวก ใช้พริกไทยป่น 1 ช้อนชาพูนๆ กับเกลือเล็กน้อย ผสมไข่ลวก 2 ฟองกับน้ำร้อน ตีให้แตก กินทุกเช้า ท่านชายจะมีกำลังวังชา ยาแก้เสมหะ และหอบ ใช้ตรีกฎุก 1 ส่วน, สมอไทย 1 ส่วน, เกลือสินเธาว์ 1 ส่วน ตำเป็นผงละลายน้ำร้อน หรือน้ำส้มงั่ว น้ำส้มซ่า น้ำมะกรูด น้ำขิง น้ำตะไคร้ก็ได้ ที่มา : www.manager.co.th |
สีของอุจจาระ บอกสุขภาพ
สีของอุจจาระ
สีของอุจจาระขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณทานเข้าไปและปริมาณของน้ำดี (bile) ในอุจจาระ
น้ำดีคือของเหลวสีเขียวๆจากถุงน้ำดีที่มีหน้าที่ช่วยย่อยไขมัน
ซึ่งจะถูกเอนไซม์ต่างๆทำปฏิกิริยาด้วย
เลยเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลระหว่างที่ไหลลงมาตามระบบทางเดินอาหาร
ดังนั้น อุจจาระที่ปกติมักจะมีสีอยู่ระหว่างเขียว-เหลือง-น้ำตาล
- หากอุจจาระเป็น
สีเขียวเข้ม อาจจะหมายความว่า อาหารได้ไหลผ่านระบบทางเดินอาหารเร็วเกินไป
(เช่นเวลาท้องร่วง) จนน้ำดียังไม่ได้มีปฏิกิริยากับ เอนไซม์และ
ยังไม่ได้เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นน้ำตาล หรือ คุณได้ทานผักสีเขียวในปริมาณมาก
หรือทานอาหารเสริมธาตุเหล็ก
- หากอุจจาระเป็น
สีขาว หรือ สีอ่อนมากๆ อาจจะหมายความว่า - อุจจาระไม่มีน้ำดี
ซึ่งอาจจะหมายความว่ารูทางออกของถุงน้ำดีมีอะไรไปอุดไว้ - คุณอาจจะทานยาบางตัวที่มี bismuth subslicylate มากเกินไปซึ่งยากลุ่มนี้จะพบได้มากในยาแก้ท้องร่วง
- หากอุจจาระเป็น
สีเหลือง มีน้ำมันและ มีกลิ่นเหม็นมาก อาจจะหมายความว่า
อุจจาระมีไขมันมากเกินไป
ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับปัญหาในระบบดูดซึมสารอาหารและควรจะพบแพทย์
- หากอุจจาระเป็น
สีดำ อาจจะหมายความว่า มีเลือดไหลในอวัยวะทางเดินอาหารช่วงบน เช่น กระเพาะ
หรือ คุณทานอาหารเสริมธาติเหล็ก หรือ ทาน black licorice เข้าไป
- หากอุจจาระเป็น
สีแดงสด อาจจะหมายความว่า มีเลือดไหลในอวัยวะทางเดินอาหารช่วงล่าง
เช่นลำไส้ใหญ่ เป็นโรคริดสีดวงทวาร หรือ คุณได้ทานอาหารที่มีสีแดงเช่น
แครนเบอรี่ บีทส์ น้ำมะเขือเทศ หรือเยลลี่สีแดง
นอกจากนี้
-
ถ้าอุจจาระเป็น สีน้ำตาลดำ ลักษณะหนืดเหนียว จมน้ำ
แสดงว่าคุณทานเนื้อสัตว์มาก
-
ถ้าคุณกินผักมาก อุจจาระจะเป็น สีเขียวขี้ม้า
-
ถ้าคุณกินมะละกอ อุจจาระก็จะออก สีแดงๆ
-
ถ้าคุณกินธัญพืชและข้าวซ้อมมือมาก อุจจาระจะออก สีน้ำตาลอ่อนและลอยน้ำได้
-
ถ้าถ่ายแล้วแสบก้น แสดงว่าคุณกินพริกมากเกินไป
-
ถ้ามีคราบไขมันลอย ให้สำรวจตัวเองว่าคุณกินอาหารมันเกินไปหรือเปล่า
-
ถ้า อุจจาระยังมีชิ้นส่วนที่บ่งบอกได้ว่ากินอะไรเข้าไป เช่น
เศษมะเขือเทศ ข้าวฟ่างลอยเป็นเมล็ด ข้าวโพดที่ยังดูเป็นข้าวโพด แสดงว่าคุณน่าจะเคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้น
รสชาติฉี่ของคน
ไม่ว่าใครจะเกิดมา“กินเพื่ออยู่” หรือ “อยู่เพื่อกิน” แต่ทุกคนต้องขับถ่ายออกมา มีทั้งการปัสสาวะและอุจจาระ
สำหรับการปัสสาวะและอุจจาระของคน
ที่เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ สิ่งที่หลายๆคนรังเกียจทั้งๆที่เป็นคนขับถ่ายออกมาเองนั้น
มันสามารถบอกสุขลักษณะและสะท้อนปัญหาการกินของคนๆนั้นได้โดยทาง “ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ” จ.นครนายก
ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ ผ่านเอกสาร “ปัสสาวะและอุจจาระวิทยา”
ดังนี้
โดยปัสสาวะวิทยา ระบุว่า รสชาติฉี่ของคน
สามารถเป็นเครื่องบ่งชี้การเป็นโรคของอวัยวะในได้ โดย
- ฉี่รสชาติเค็ม
บ่งชี้ถึงการเป็นโรคไต
- รสขมบ่งชี้ถึงการเป็นโรคหัวใจ
- รสเปรี้ยวบ่งชี้การเป็นโรคตับ
- รสหวาน
บ่งชี้การเป็นโรคที่ตับอ่อน
- รสฝาดหรือเฝื่อนบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อบกพร่อง
- และรสกลมกล่อมซึ่งไม่ได้หมายถึงรสอร่อย
หากแต่หมายถึงการผสมทุกรสกัน ทั้ง เค็ม หวาน ขม เปรี้ยว ฝาดเฝื่อน
นั่นหมายถึง การบกพร่องของอวัยวะทุกส่วน
ส่วนปัสสาวะที่ดี
จะมีรสเหมือนน้ำเปล่า หรือรสเหมือนน้ำชา
ขณะที่เรื่องของอุจจาระวิทยานั้น สามารถสะท้อนปัญหาในเรื่องการกินออกมาได้อย่างน่าคิด
โดยอุจจาระของคนเรานั้น มี 7 แบบ ได้แก่
1. เป็นขี้แพะก้อนเล็กและแข็งมาก
2. เป็นก้อนแข็งเหมือนกระสุนขนาดใหญ่
3. เป็นแท่งเหมือนไส้กรอก
ผิวมีรอยแตก
4. เป็นแท่งยาว นิ่ม
ผิวเรียบ ส่วนปลายแหลมเหมือนหางงู
5. นิ่มมากแต่คงรูปได้
6. เหลว ไม่คงรูปร่าง
7. เป็นน้ำ
ทั้งนี้ศูนย์ภูมิรักษ์ได้ระบุว่าอุจจาระแบบที่ 4
แสดงถึงสุขภาพที่ดีที่สุดของคนเรา
ด้านสีของอุจจาระก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมการกินได้
โดยศูนย์ภูมิรักษ์แบ่งสีของอึหรืออุจจาระเป็น 4 ลำดับ คือ
1.ดำ
แสดงผลว่าอาจมีเลือดออกในกระเพราะหรือลำไส้
2. น้ำตาล
แสดงผลว่ากินเนื้อมากกว่าผักผลไม้
3 น้ำตาลอมเหลือง
แสดงผลว่ากินเนื้อสมดุลกับผัก ผลไม้
4 เขียว แสดงผลว่ากินผักสดและผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์
ทั้งนี้ลำดับอุจจาระที่ถือว่าร่างกายไม่สะสมพิษ คือ ลำดับที่ 3 และ 4
ส่วนความรู้สึกในการขับถ่ายที่ดี ทางอุจจาระวิทยาได้ให้ข้อมูลว่ามีดังนี้
1. เกิดความรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระเป็นเวลา
2. ไม่ต้องเบ่งจนหน้าดำหน้าแดง
3. อุจจาระจะขับออก
แบบลื่นไหลไม่สะดุด
4. หลังถ่ายอุจจาระแล้วรู้สึกสบาย
และนั่นคือปัสสาวะและอุจจาระวิทยาที่สะท้อนถึงเรื่องสุขภาพและปัญหาการกิน
ซึ่งผู้สนใจสามารถพิสูจน์โรคจากฉี่คงต้องกลั้นใจหรือทำใจลำบากหน่อย
เพราะเรื่องรสชาติของฉี่ถือเป็นเรื่องที่ยากต่อการพิสูจน์ของคนจำนวนมาก ส่วนใครที่อยากรู้สุขภาพจากอึก็สามารถพิสูจน์สีดูกันได้
เลือด...ของเหลงมหัศจรรย์แห่งชีวิต
เรายังอยู่กันที่รายการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเทคนิคการแพทย์
เพื่อบ่งชี้สภาวะการทำงานของตับ (Liver function test ) วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ
2 รายการสุดท้าย คือ Total billirubin และ
Direct billrubin ซึ่งมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับภาวะที่เรียกว่า
“ตัวเหลือง ตาเหลือง” กันอย่างไร
คำว่า “บิลิรูบิน (Billirubin)”
เป็นสารสีเหลืองในน้ำดี
บิลิรูบินเกิดขึ้นจากการสลายตัวขององค์ประกอบบางอย่างในเม็ดเลือดแดง
โดยปกติเม็ดเลือดแดงจะมีอายุขัยประมาณ 120 วัน เมื่อหมดอายุจะถูกทำลายโดยม้าม
ทำให้เกิดการสลายส่วนประกอบที่สำคัญที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ที่อยู่ภายในเม็ดเลือดแดง
โดยส่วนของโปรตีนจะถูกสลายเป็นกรดอะมิโนเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ในร่างกาย
และเหลืออีกส่วนที่เรียกว่า ฮีม (Heme) ซึ่งจะละลายน้ำไม่ได้
จึงต้องจับกับโปรตีนอัลบูมิน (ที่กล่าวถึงไว้ในฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2554) เพื่อขนส่งไปในกระแสเลือดไปยังตับ
ในช่วงก่อนที่จะไปถึงตับ จะเรียกบิลิรูบินชนิดนี้ว่า Indirect billirubin และเมื่อไปถึงตับ จะมีกระบวนการในการจับกรดกลูคูโรนิก (Glucuronic
acid) ทำให้มีคุณสมบัติในการละลายน้ำได้ดีและมีสีเหลือง
ในขั้นตอนนี้ จึงเรียกใหม่ว่าDirect billirubin หรือบางห้องปฏิบัติการอาจใช้คำว่า
Conjugated billirubin แทนก็ได้ หลังจากนั้น
จะมีการขับออกทางน้ำดี เข้าสู่ลำไส้เล็กและขับออกทางลำไส้ใหญ่ปนกับกากอาหารต่อไป
ดังนั้น หากมีความปกติเกิดขึ้นที่ตับหรือท่อทางเดินน้ำดี
ทำให้มีการเอ่อท้นเข้าสู่กระแสเลือดและจะถูกขับออกทางไตในรูปของปัสสาวะ
ซึ่งหากมีการเจาะเลือดตรวจรายการDirect billirubin ก็จะพบว่ามีค่าสูงขึ้นได้
อีกทั้งหากเกิดกรณีที่มีการแตกของเม็ดเลือดแดงเป็นจำนวนมากจากโรคหรือพยาธิสภาพบางอย่าง
ก็ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดการคั่งของบิลิรูบิน ทั้งในส่วนที่เป็น Indirect
billirubin และ Direct billirubin ทำให้เกิดผลรวมที่เรียกว่า
Total billirubin ปริมาณมากในกระแสเลือดและไปสะสมที่บริเวณผิวหนังและตาขาว
ทำให้ลักษณะอาการที่เรียกว่า ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง หรือเรียกว่า “ดีซ่าน (Jaundice)” นั่นเอง
ท่านผู้อ่านคงจะสังเกตเห็นว่า ในใบส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการจะมีเพียง 2 รายการ คือ
Total billirubin และDirect billirubin ซึ่งจะไม่มีการตรวจค่า Indirect billirubin ที่เป็นค่าจริง
แต่หากต้องการทราบค่านี้ จะอาศัยการคำนวณโดยนำค่า Total billirubin มาหักลบด้วยค่า Direct billirubin แทน
สำหรับค่าปกติของ Total billirubin
จะเท่ากับ 0.5-1.2 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร (ในใบรายงานผลจะเรียกว่า มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร; mg/dl) ในขณะที่ค่าของ Total billirubin จะอยู่ระหว่าง 0.1-0.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ค่า Total
billirubin ที่สูงกว่าปกติ อาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของตับ เช่น
ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมีการติดเชื้อ ความผิดปกติในการทำงานของไต
สภาวะที่มีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ รวมไปถึงในกรณีที่มีตัวเหลืองตาเหลืองในเด็กทารกแรกเกิด
เนื่องจากตับยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากขาดเอนไซม์ที่ช่วยในการเปลี่ยน Indirect
billirubin ให้เป็น Direct billirubin ได้ดีพอจึงจะเห็นว่าต้องมีการนำทารกไปเข้าตู้เพื่อส่องไฟ
เพื่อให้แสงช่วยในการทำปฏิกิริยาให้บิลิรูบินเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่ละลายน้ำได้ดีขึ้น
เพื่อให้สามารถขับออกนอกร่างกายต่อไป
สำหรับการที่ค่า Direct billirubin สูงกว่าปกตินั้นอาจเป็นไปได้จากการมีก้อนนิ่วในถุงน้ำดี
หรือการเกิดมะเร็งที่ตับ ที่มีผลทำให้ท่อทางเดินน้ำดีเกิดสภาวะอุดตัน
ทำให้ไม่สามารถขับออกได้ จึงเอ่อท้นเข้าสู่กระแสเลือด
หวังว่าท่านผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาในคอลัมน์นี้มาโดยตลอด
จะสามารถใช้ความรู้ต่างๆเหล่านี้
ในการรู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะในร่างกาย
โดยสามารถใช้ผลการตรวจเลือดเป็นเสมือนลายแทงที่บ่งชี้สถานะทางสุขภาพของทุกท่าน
อันจะนำไปสู่การดูแลและสร้างเสริมสุขภาพของพวกเราให้ดีไปได้โดยตลอดนะครับ
แหล่งข้อมูล:
Hospital
& Healthcare. ปีที่ 5 ฉบับที่ 43 เดือนเมษายน 2554: หน้า 4.
วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556
สูตรผสมผสาน "ล้างพิษตับ" เยอรมัน ไต้หวัน และไทย ให้มีประสิทธิภาพ (ตอนที่ 4) : เทคนิคการดื่มน้ำมันมะกอก
|
|
สมัครสมาชิก:
บทความ
(
Atom
)