วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สูตรผสมผสาน "ล้างพิษตับ" เยอรมัน ไต้หวัน และไทย ให้มีประสิทธิภาพ (ตอนที่ 1) : เทคนิคการอดอาหาร

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       ผมได้มีโอกาสล้างพิษตับอยู่พอสมควร และทดลองในหลายวิธีที่มีความแตกต่างกัน พบว่าแท้ที่จริงแล้วการล้างพิษไม่ได้มีความตายตัว เพราะวิวัฒนาการและพัฒนาการนั้นไม่ควรจะอยู่นิ่ง ตราบใดที่เรามีงานวิจัยหรือการค้นคว้าใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา
       
        โดยเฉพาะในเวลานี้การล้างพิษตับเป็นที่เผยแพร่และนิยมอยู่มาก ดังนั้นผู้ที่จัดหลักสูตรแม้จะสามารถปรับปรุงหลักสูตรให้พัฒนากว่าต้นฉบับเดิมได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหลังล้างพิษด้วย เพราะการล้างพิษตับควรคำนึงความปลอดภัยมากกว่าการหวังผลที่จะมีผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาหลังล้างพิษตับ
       
        ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงไม่เคยห้ามใครในการพัฒนาจัดหลักสูตรล้างพิษของตัวเอง เพราะถือว่าการพัฒนาเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา แต่หากพบผลกระทบในทางลบที่ชัดเจนหรือปัญหา ด้วยเงื่อนไขใด ป้องกันอย่างไร และแก้ไขอย่างไร ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแจ้งบอกกล่าวให้ประชาชนที่สนใจในเรื่องนี้ได้รับทราบโดยทั่วกันอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
    
        เพราะคนแต่ละคนมีสภาพที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นสูตรล้างพิษตับที่เหมาะกับคนกลุ่มหนึ่งอาจไม่เหมาะกับคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ บางสูตรอาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนกลุ่มหนึ่งแต่สูตรเดียวกันก็อาจเป็นอันตรายกับคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้เช่นกัน

       
        ดังนั้นความสำคัญไม่น่าจะอยู่ที่ว่าสูตรของใครที่ไหนดีที่สุด แต่ความสำคัญน่าจะอยู่ที่ว่าผู้ที่จัดหลักสูตรมีความเข้าใจอย่างละเอียดถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในสูตรของตัวเองเพียงใด สูตรของตัวเองเหมาะกับใคร และไม่เหมาะกับใคร
       
        แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือผู้ที่จัดหลักสูตรควรมีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญจริงที่จะสามารถรับมือเมื่อเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดได้ และต้องตัดสินใจที่จะให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ตรงนั้นน่าจะเป็นหัวใจสำคัญเสียยิ่งกว่า
    
        ผมเห็นข้อเด่นในหลักสูตรล้างพิษตับของอันเดรียส์ มอริสต์ ชาวเยอรมัน
ตรงที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง "การเตรียมตัว" ก่อนการอดอาหาร 6 วัน หลักสูตรนี้จึงสามารถอดอาหารสั้นเพียงไม่ถึง 1 วัน เพราะสูตรนี้จะเน้นการทำให้ลำไส้สะอาด และการอดอาหารสั้นก็เน้นวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้แน่ใจว่าลำไส้สะอาดจริงจากการเตรียมตัวปรับอาหารและพฤติกรรมล่วงหน้ามา 6 วันแล้ว มากกว่าวัตถุประสงค์ในการอดอาหารยาวเพื่อเผาผลาญไขมันหรือสลายสารพิษในร่างกาย และใช้การดื่มน้ำมันมะกอกผสมกับ "เกรปฟรุต" หรือ ผสมกับ"น้ำมะนาวผสมน้ำส้ม" เป็นตัวล่อให้ตับและถุงน้ำดีขับน้ำดีและสารพิษออกมา โดยใช้ "ดีเกลือ" เป็นยาถ่ายเพื่อทำให้ลำไส้สะอาดและใช้ขับสารพิษออกจากร่างกายหลังดื่มน้ำมันมะกอกอีกรอบหนึ่ง
       
        ผมเห็นข้อเด่นในหลักสูตรล้างพิษตับของไต้หวัน ตรงที่ใช้ความรู้และความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ โดยการใช้เอนไซม์มาประยุกต์ในการล้างพิษตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้เอนไซม์น้ำที่ทำจากพืชผักผลไม้เกือบ 150 ชนิด เพื่อใช้เป็นสารอาหารโมเลกุลสายสั้นที่สามารถถูกดูดซึมเข้าร่างกายได้เร็วที่สุดในระหว่างการอดอาหารพักการย่อยจนไม่รู้สึกหิว แล้วอดอาหารเพียง 1 วัน โดยใช้เอนไซม์ผงจากพืชหลายชนิดผสมน้ำเพื่อทำหน้าที่ย่อยสลายกากอาหารตกค้างในลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องอาศัยดีเกลือเลย ในขณะเดียวกันก็ยังคงใช้การดื่มน้ำมันมะกอกผสมกับผงแอปเปิ้ลละลายในน้ำเพื่อล่อตับและถุงน้ำดีในการขับน้ำดีและสารพิษออกจากร่างกาย แล้วใช้เอนไซม์ผงในการย่อยสลายสารพิษและขับสารพิษออกจากร่างกายหลังดื่มน้ำมันมะกอก แต่เนื่องจากที่ไต้หวันไม่ได้มีการสวนทวารล้างลำไส้ ดังนั้นจึงมีการอดอาหารเพื่อล้างพิษต่ออีก 7 วัน โดยดื่มแต่น้ำเอนไซม์แต่เพียงอย่างเดียว
       
        ผมเห็นข้อเด่นหลักสูตรล้างพิษของชาวอโศก ตรงที่ผสมผสานภูมิปัญญาของหลายชาติเข้ากับภูมิปัญญาได้อย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่การอมน้ำมันมะพร้าว แช่เท้าด้วยน้ำร้อนสมุนไพร พอกหน้าด้วยสมุนไพร นวดกดจุดคลายเส้น (กัวซา) ดื่มสมุนไพร และน้ำผลไม้ที่หลากหลายในระหว่างการอดอาหาร แม้ในหลักสูตรนี้จะไม่ได้มีการเตรียมตัวล่วงหน้ามาเหมือนกับ เยอรมัน แต่หลักสูตรนี้ได้เน้นการล้างลำไส้ให้สะอาด ด้วยการสวนทวารล้างลำไส้ ใช้ยาชำระเมือกมันเพิ่มกำลังในการขับสารพิษ และดื่มลิดท็อกซ์ซึ่งเป็นธัญพืชที่มีองค์ประกอบสำคัญคือซิลเลียมให้พองในลำไส้เพื่อกวาดกากอาหารและสารพิษในลำไส้ออกจากร่างกาย แล้วยังมีการดื่มดีเกลือก่อนดื่มน้ำมันมะกอกอีกด้วย มีการอดอาหารประมาณไม่เกิน 72 ชั่วโมงต่อเนื่องกันเพื่อล้างพิษและทำให้ลำไส้สะอาด และมีการดื่มน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาวและน้ำส้ม
       
        ความแตกต่างของแต่ละสูตรนั้นก็เหมาะกับคนแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันในหลายประการ ในตอนนี้จะขอวิเคราะห์เฉพาะความแตกต่างในเรื่อง "การอดอาหาร" ก่อน
       
        การอดอาหารยาวกว่าของชาวอโศกไม่เกิน 72 ชั่วโมงนั้นทำให้ร่างกายได้พักจากการย่อยได้เต็มที่แม้จะไม่ได้มีการเตรียมตัวมาล่วงหน้าเหมือนกับสูตรของเยอรมันก็ตาม แต่การที่หลักสูตรที่ชาวอโศกไม่ได้เน้นการเตรียมตัวล่วงหน้าอาจทำให้บางคนหลงผิดคิดรับประทานอาหารแบบอัดเข้าไปในร่างกายมากๆเพื่อเตรียมสำรองเอาไว้ในช่วงการอดอาหารซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในระหว่างล้างพิษเพราะลำไส้ไม่สะอาดเพียงพอได้
       
        ส่วนที่ไต้หวันนั้นก็มีการอดอาหารหลังจากล้างพิษตับไปแล้วถึง 7 วัน ก็เพื่อทำให้การเผาผลาญสารพิษตกค้างที่ออกมาจากตับแล้วลำไส้ดูดกลับหลังดื่มน้ำมันมะกอก อันถือเป็นวิธีการที่ชดเชยการสวนล้างลำไส้ของชาวอโศกอีกวิธีหนึ่งได้เหมือนกัน
       
        อย่างไรก็ตามสูตรของชาวอโศกที่มีการอดอาหารไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนล้างพิษตับ มีจุดเด่นคืออดอาหารเผาผลาญไขมันและสารพิษและล้างลำไส้ให้สะอาดเปรียบเสมือนการเตรียมตัวให้ท่อสะอาดก่อนที่สารพิษที่ละลายในไขมันที่ออกมาพร้อมกับน้ำดีออกมา เพื่อทำให้สารพิษที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดีเดินทางผ่านลำไส้ได้สะดวก ไม่ติดค้างอยู่ตามผนังลำไส้และสามารถขับออกได้เร็วที่สุด ในขณะที่ไต้หวันกลับมีความคิดอีกอย่างคืออดอาหารสั้นเพียง 1 วัน แต่มาเน้นการอดอาหารหลังจากนั้น 7 วัน เพื่อเผาผลาญสารพิษที่ละลายในไขมันและไขมันที่ออกมาจากตับและอาจมีการดูดกลับในลำไส้
       
        การอดอาหารของชาวอโศกและของไต้หวันนั้นไม่ได้อดแบบร้อยเปอร์เซนต์เสียทีเดียว เพราะการลดปริมาณแคลลอรี่ลงโดยไม่ให้มีการย่อยกากอาหารใหม่เช่นเดียวกับไต้หวัน เพียงแต่การอดอาหารชาวอโศกใช้ลิดท็อกซ์ที่มีคุณสมบัติพองในลำไส้ซึ่งทำให้ไม่เกิดอาการหิว แต่ในขณะที่การอดอาหารของไต้หวันให้ดื่มน้ำเอนไซม์ที่มาจากพืชผัก สมุนไพร ถึง 150 ชนิดด้วยสายโมเลกุลที่สั้นจึงทำให้ไม่หิวและสามารถอดอาหารได้ยาวถึง 7 วัน
    
        แม้ว่าการอดอาหารในหลักสูตรล้างพิษของชาวอโศกและไต้หวัน ไม่ใช่การอดอาหารอย่างแท้จริง เพราะยังมีสารอาหารอยู่จากน้ำผลไม้หรือน้ำเอนไซม์ แต่ก็พึงจะต้องระวังผลกระทบโยโย่ "Yo yo Effect" คืออดอาหารจนร่างกายเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน คือเกิดภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำลงทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานลดน้อยลง (ตามงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ ปี พ.ศ. 2551)
 ดังนั้นหากจะคิดอดอาหารในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ต้องคิดถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินหลังการอดอาหารด้วย มิเช่นนั้นหากยังกินในปริมาณเท่าเดิมเหมือนก่อนอดอาหารโดยทันที ทั้งๆที่การเผาผลาญพลังงานลดต่ำลงแล้ว ก็อาจทำให้อ้วนง่ายขึ้น หรือ อาจจะมีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้มากกว่าก่อนอดอาหารเสียอีก
       
        แต่สำหรับคนที่เป็นโรคธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ หรือ ธัยรอยด์ฮอรโมนต่ำแฝงอยู่แล้ว (โดยเฉพาะคนที่มีการวัดอุณหภูมิโดยเฉลี่ย 5 วันตอนเช้าต่ำกว่า 36.4 องศาเซลเซียส) คือมีภาวะการเผาผลาญพลังงานต่ำอยู่เดิมนั้น จากประสบการณ์ของผมพบว่าการอดอาหารเพื่อล้างพิษของกลุ่มคนเหล่านี้โดยไม่ให้มีปัญหา ไม่ควรอดอาหารยาวเกิน 48 ชั่วโมง หรือถ้าต่ำมากๆอย่างเห็นได้ชัดก็อาจจะอดอาหารไม่เกิน 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันปัญหาธัยรอยด์ฮอร์โมนที่อาจต่ำลงไปอีก
       
        และความจริงแล้วการอดอาหารที่น่าจะถือว่ามีประโยชน์สูงสุดก็คือการลดปริมาณอาหารที่เป็นกิจวัตรประจำ คงเส้นคงวา ซึ่งจะไม่สร้างปัญหาการเผาผลาญอาหารที่ต่ำลงโดยไม่สอดคล้องกับการรับประทาน ซึ่งวิธีการนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยตรัสเอาไว้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 265 ความว่า :
       
        "ดูก่อนถึงพวกเธอทั้งหลายก็จงฉันหนเดียวเถิด แม้พวกเธอก็จะรู้สึกว่า 1.มีความเจ็บป่วยน้อย 2. มีความลำบากกายน้อย 3. มีความเบากาย 4. มีกำลัง 5. อยู่อย่างผาสุก"
    
        ความเห็นของผมในชั้นนี้เห็นว่า การอดอาหารล้างพิษตับให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นควรเตรียมตัวล่วงหน้า 6 วัน เหมือนสูตรชาวเยอรมัน (งดเครื่องดื่มและอาหารเย็น, รับประทานอาหารและเครื่องดื่มอุ่นหรืออย่างน้อยอุณหภูมิห้อง, งดเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์, งดนมวัว, งดไข่ไก่ ไข่เป็ด, งดของทอด หรือลดปริมาณอาหารลดน้อยลง) ในขณะเดียวกันการเตรียมตัวล้างลำไส้ให้สะอาดล่วงหน้าก่อนอดอาหารก็จะเพิ่มประสิทธิภาพในการล้างพิษตับให้ดีขึ้น และการล้างพิษตับของชาวอโศกที่ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว เพียงแต่อาจจะต้องลงรายละเอียดกับปัญหาภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ โดยเฉพาะที่เกิดในผู้หญิงเป็นกรณีพิเศษ
    
        ส่วนหลังล้างพิษตับแล้วก็อย่างเพิ่งรีบโหมรับประทานอาหารเพราะ"ความรู้สึก" โดยเข้าใจว่าต้องชดเชยการอดอาหาร โดยไม่ดูสภาพความต้องการที่แท้จริงในร่างกาย ดังนั้นให้รับประทานอาหารอ่อนๆตามสภาพที่หิวจริง ถ้ายังไม่อยากรับประทานก็อย่าเพิ่งฝืนรับประทานหรือให้รับประทานแต่น้อย แล้วค่อยๆเพิ่มเป็นลำดับขั้นบันได จนรู้สึกหิวจริงแล้ว จึงค่อยรับประทานให้อยู่ในระดับปกติ


ขอขอบคุณที่มา : http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000102177